หากพูดถึงวัดในเกียวโต หลายคนก็จะต้องนึกถึง “วัดทอง” หรือ วัดคินคะคุจิ (Kinkakuji Temple) เป็นอันดับต้นๆ อย่างแน่นอน และสำหรับใครที่ทันการ์ตูนเรื่องเณรน้อยเจ้าปัญญา “อิคคิวซัง” ที่เคยฉายทางช่อง 3 ของบ้านเรามาก่อน (บ่งบอกอายุมาก 555) ถ้าได้มาเยือนที่นี่ก็น่าจะคุ้นๆตากับศาลาสีทองของวัดแห่งนี้ด้วยนะคะ

เกี่ยวกับวัดคินคะคุจิ (Kinkakuji Temple)

วัดคินคะคุจิ (Kinkakuji Temple / 金閣寺)

ประวัติความเป็นมา

วัดคินคะคุจิ (Kinkakuji Temple / 金閣寺) หรือที่รู้จักกันในชื่อ “วัดทอง (Golden Pavilion)” มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า “วัดโรคุออนจิ (Rokuonji Temple / 鹿苑寺)” เป็นวัดพุทธนิกายเซ็น สำนักรินไซ ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเมืองเกียวโต (Kyoto) และเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมมากแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น โดยได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจาก UNESCO เมื่อปี ค.ศ. 1994

ตัววัดคินคะคุจิมีจุดเด่นอยู่ที่ศาลาสีทองซึ่งตั้งอยู่ริมบ่อน้ำ ตัวศาลาดั้งเดิมสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1397 เพื่อเป็นที่พักของท่านโชกุนอาชิคางะ โยชิมิตสึ (Ashikaga Yoshimitsu) หลังสละราชสมบัติ ซึ่งหลังจากที่ท่านโชกุนเสียชีวิตก็ได้เปลี่ยนมาเป็นวัดแทน ทั้งนี้ตัวศาลาได้เกิดเพลิงไหม้จนเสียหายไปหลายครั้ง สำหรับรูปแบบที่เห็นในปัจจุบันนั้นได้รับการบูรณะขึ้นใหม่เมื่อปี ค.ศ. 1955 ซึ่งมีทั้งหมด 3 ชั้น โดย 2 ชั้นบนสุดนั้นมีการปิดด้วยทองคำเปลวจนเป็นสีทองอร่าม ส่วนชั้นล่างก็ยังเป็นคงใช้เป็นสีของไม้และปิดผนังด้วยสีขาวตามแบบฉบับวัดเซ็น

นอกจากนี้วัดคินคะคุจิก็ยังมีชื่อเรียกเล่นๆ อีกว่า “วัดอิคคิวซัง” ซึ่งมาจากการที่ตัวศาลาสีทองนั้นเป็นฉากในการ์ตูนเรื่อง “อิคคิวซัง (Ikkyusan) หรือในภาษาไทย “เณรน้อยเจ้าปัญญา” โดยเป็นปราสาทของท่านโชกุนอาชิกางะ โยชิมิตสึ ผู้ที่ชอบตั้งคำถามปุจฉาวิสัชนากับอิคคิวซังนั่นเอง

ข้อมูลการเยี่ยมชม

  • ค่าเข้าชม:
    • ผู้ใหญ่ (มัธยมปลายขึ้นไป) 400 เยน
    • เด็ก (ประถม – มัธยมต้น) 300 เยน
  • เวลาทำการ:
    • เปิดทุกวัน 9:00 – 17:00 น.

หมายเหตุ: ตัวศาลาทองมีการปิดปรับปรุงตั้งแต่เดือนกันยายนถึงธันวาคม 2020

วิธีการเดินทาง

รถบัส

ป้ายรถบัสใกล้เคียง ได้แก่

  • Kinkakuji-michi (金閣寺道) เดินประมาณ 5 นาที สายที่ผ่าน ได้แก่ Kyoto City Bus สาย 12, 59, 101, 102, 111, 204, 205
    • จากสถานี Kyoto ให้นั่งสาย 205 มาลงที่ป้าย Kinkakuji-michi

หมายเหตุ: ปัจจุบันได้ยกเลิกป้าย Kinkakuji-mae ไปแล้ว เหลือเพียงป้าย Kinkakuji-michi

รีวิวเที่ยววัดคินคะคุจิ (Kinkakuji Temple)

ในตอนก่อนนั้นเราชมวิวใบไม้เปลี่ยนสีกันที่บริเวณอาราชิยาม่า (Arashiyama) ซึ่งมีเส้นทางป่าไผ่ (Bamboo Grove) และสะพานโทเก็ตสึเคียว (Togetsukyo Bridge) หลังจากที่ท่องเที่ยวแถบนั้นได้ครึ่งวันเราก็จะเดินทางไปต่อกันที่วัดทองหรือวัดคินคะคุจิแห่งนี้นะคะ

สำหรับวิธีการเดินทางก็ไม่ยาก จากอาราชิยาม่าก็ให้มาขึ้นรถไฟที่สถานี Saga-Arashiyama เพื่อนั่งรถไฟสาย JR Sagano Line มาลงที่สถานี Emmachi แล้วมาต่อรถบัสสาย 204 หรือ 205 ที่ป้าย Nishinokyo Enmachi (西ノ京円) มาลงยังป้าย Kinkakuji-michi (金閣寺道) ที่อยู่ใกล้ๆ กับวัด รวมใช้เวลาเดินทางประมาณครึ่งชั่วโมง ส่วนคนที่จะเดินทางมาจากจากสถานี Kyoto ก็ให้นั่งรถบัสสาย 205 ต่อเดียวถึงค่ะ

Somon (総門)

จากป้ายรถบัสต้องเดินเลี้ยวมาอีกนิดถึงจะเจอทางเข้าวัดที่เป็นถนนกรวด และต้องเดินอีกประมาณ 100 เมตรก็จะเจอทางเข้าวัดที่เป็นประตูไม้ซึ่งเรียกว่า Somon (総門) ระหว่างทางก็มีใบไม้แดงให้ชมด้วยนะคะ สีกำลังสดสวยมากเลย

แผนที่บริเวณวัดคินคะคุจิ

แผนที่บริเวณวัดคินคะคุจิ

บริเวณทางเดินด้านในวัด

เมื่อผ่านประตูมาก็จะเจอกับหอระฆัง Syuro (鐘楼) อยู่ทางซ้ายมือ สำหรับที่ตั้งของศาลาทองนั้นก็ต้องเดินตรงไปอีก ซึ่งจะต้องผ่านโซนที่ต้องซื้อตั๋วเข้าชมแล้วค่ะ

ตั๋วเข้าชมวัดคินคะคุจิ

ราคาตั๋วสำหรับผู้ใหญ่นั้นอยู่ที่ 400 เยน

บริเวณจุดถ่ายรูปริมบ่อน้ำ

บริเวณจุดถ่ายรูปริมบ่อน้ำซึ่งอีกฝั่งที่เห็นอยู่นั้นก็คือศาลาทองนั่นเอง ใครอยากได้มุมไหน เอียงซ้าย เอียงขวา ก็สามารถเลือกได้เลยตามอัธยาศัย แต่อาจจะต้องรอจังหวะนิดนึง หากมาในช่วงที่นักท่องเที่ยวค่อนข้างเยอะอย่างช่วงใบไม้เปลี่ยนสีแบบนี้

ศาลาทองและบ่อน้ำ

ภาพมุมกว้างของศาลาทองซึ่งในภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า Shariden Kinkaku (舎利殿 金閣) ซึ่งคำว่า “金 (Kin)” ก็แปลว่าทองนั่นเอง ตัวศาลานั้นสะท้อนกับผิวน้ำเป็นสีทองอร่าม แซมด้วยสีส้มของใบเมเปิ้ล ถ้ามาช่วงบ่ายๆ แบบนี้ แสงอาทิตย์ก็จะส่องเข้าด้านหน้าศาลา ยิ่งเป็นสีทองสว่างขึ้นอีกค่ะ

Shariden Kinkaku (舎利殿 金閣)

ศาลาทอง Shariden Kinkaku (舎利殿 金閣) นั้นมี 3 ชั้น และในแต่ละชั้นก็ใช้การออกแบบที่แตกต่างกัน ดังนี้

  • ชั้นที่ 1: Hossui-in (法水院) เป็นสไตล์แบบญี่ปุ่นเรียกว่า Shinden-zukuri (寝殿造)
  • ชั้นที่ 2: Cho’on-do (潮音洞) เป็นสไตล์แบบญี่ปุ่นเรียกว่า Buke-zukuri (武家造)
  • ชั้นที่ 3: Kukkyo-cho (究竟頂) เป็นสไตล์ของวัดเซ็นแบบจีน
วัดคินคะคุจิ (Kinkakuji Temple)

เดินวนไปตามริมบ่อน้ำ ขยับหามุมถ่ายรูปไปเรื่อยๆ

ศาลาทองและสวน

ด้านบนยอดสุดนั้นก็เป็นนกฟีนิกซ์ซึ่งเป็นสัญลักษณ์มงคลในประเทศจีน

วัดคินคะคุจิช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสี

ช่วงนี้มีใบไม้เปลี่ยนสี ก็ช่วยเพิ่มสีสันให้กับภาพได้อีก

บริเวณด้านหลังศาลาทอง

ทางวัดไม่ได้เปิดให้เข้าชมด้านในศาลา นักท่องเที่ยวสามารถชมได้แต่บริเวณด้านนอกนะคะ

บริเวณสวนด้านหลัง

หลังจากเดินวนจนครบรอบศาลาแล้ว เราก็เดินตามทางในสวนที่ทางวัดทำไว้ ช่วงที่อยู่บนเนินก็จะมองเห็นยอดศาลาทองได้

ร้านขายของในบริเวณวัด

ร้านขายของในบริเวณวัด

Fudo-do Hall (不動堂)

เมื่อเดินตามทางมาเรื่อยๆ ก็จะเจอกับศาลา Fudo-do Hall (不動堂) ซึ่งมีกล่องให้โยนเหรียญและขอพรได้

บันไดริมรั้ว

เดินจนครบก็จะออกมาบริเวณด้านนอก ก็มีใบไม้แดงให้ชมกันต่ออีกด้วย

ใบไม้แดงในบริเวณวัด
ใบเมเปิ้ลเปลี่ยนสี

แล้วเราก็ขอลากันไปด้วยภาพใบเมเปิ้ลในช่วงที่กำลังพีคนี้ สีสดมากกก โครมาเที่ยววัดคินคะคุจิช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนแบบนี้ รับรองว่าได้ฟินกับบรรยากาศของใบไม้เปลี่ยนสีอย่างแน่นอน!

ส่งท้าย

เมื่อมี “วัดทอง” แล้วก็ต้องมี “วัดเงิน” ซึ่งสามารถไปชมรีวิวกันได้ที่วัดกินคะคุจิ (Ginkakuji Temple) ชื่อเรียกอาจจะคล้ายๆ กัน ระวังจำสับสนนะคะ ส่วนในตอนหน้าเราจะพาไปชมศาลเจ้ายาซากะ (Yasaka Shrine) ซึ่งเป็นศาลเจ้าชื่อดังอีกแห่งของเกียวโต ตั้งอยู่แถวๆ ย่านกิออน รอติดตามชมกันนะคะ วันนี้ก็ขอลาไปก่อน สวัสดีค่า

เทียบราคาโรงแรมที่พักในเกียวโต


บทความเที่ยวเกียวโต (Kyoto)

การเดินทาง
สถานที่ท่องเที่ยว
› เกียวโตกลาง (Central Kyoto)
› เกียวโตตะวันออก (Eastern Kyoto)
› เกียวโตตะวันตก (Western Kyoto)
› เกียวโตเหนือ (Northern Kyoto)
› เกียวโตใต้ (Southern Kyoto)
ร้านอาหาร

+ ดูบทความเที่ยวเกียวโตทั้งหมด

รูปภาพที่มีโลโก้และบทความในเว็บไซต์ ถือเป็นลิขสิทธิ์ของ JapanKakkoii.com