ไปญี่ปุ่นซื้ออะไรดี?…ลองมาดูตัวอย่าง 21 ไอเดียของฝากจากญี่ปุ่นกันก่อนนะคะ บอกเลยว่าญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ละลายทรัพย์นักท่องเที่ยวมาก ซึ่งของฝากที่น่าซื้อกลับมานั้นมีสารพัดหรรษาเลยค่ะ ตั้งแต่ของกินไปจนถึงของใช้ แพ็คเกจและรูปลักษณ์ของสินค้านี่เรียกได้ว่าเห็นอะไรก็อยากได้ไปหมด ไม่ว่าจะซื้อให้ตัวเองหรือซื้อฝากคนอื่น ว่าแล้วก็ไปดูกันดีกว่าว่าเราจะมีของฝากจากญี่ปุ่นอะไรมาแนะนำบ้าง วันนี้เรามีตัวอย่างสินค้าน่าซื้อมาเรียกน้ำย่อยกันด้วยนะจะบอกให้…
ไอเดียของฝากจากญี่ปุ่น…ไปญี่ปุ่นซื้ออะไรดี?
1. ขนมของฝากในสนามบิน
ขนมของฝากยอดฮิตที่สามารถหาซื้อได้ในร้านค้าปลอดภาษีหรือ Duty Free ที่สนามบินในญี่ปุ่นก่อนกลับไทย อาทิเช่น
- ช็อกโกแลต ROYCE
- คุกกี้สอดใส้ช็อคโกแลต Shiroi Koibito
- ขนมกล้วย Tokyo Banana
- ขนมคุกกี้ม้วน Yoku Moku
- คุกกี้มิลค์ชีส Tokyo Milk Cheese Factory
- มันฝรั่งทอด Jaga Pokkuru
- ถั่วพิสตาชิโอวาซาบิ Sennarido Pistachio
- คุกกี้สอดไส้ชีส New York Perfect Cheese กำลังฮิต
ของพวกนี้ นอกสนามบินก็มีขายนะคะแต่มีภาษีอีก 10% จึงแนะนำให้ซื้อใน Duty Free ฉะนั้นอย่าช้อปปิ้งในเมืองจนหมดตัว เผื่อเงินไว้ช้อปปิ้งของฝากปิดท้ายก่อนกลับบ้านกันด้วยนะ (ใครเงินเหลือไม่พอ ก็รูดบัตร รูดปรื้ดๆ ได้ตามสะดวก อิอิ)
2. ของฝากจากสถานที่ท่องเที่ยว
เป็นของฝากจากญี่ปุ่นที่ดูปุ๊บแล้วรู้ทันทีว่าเราไปเที่ยวที่ไหนมา โดยมากมีให้เลือกทั้งขนม ของประดับตกแต่ง เครื่องเขียน ของใช้อย่างพวกแก้วน้ำ รูปแบบอาจเป็นมาสคอร์ตของสถานที่ท่องเที่ยวนั้นๆ หรือมีตราสัญลักษณ์ที่แพคเกจหรือที่ตัวสินค้าก็แล้วแต่การออกแบบ ของพวกนี้สามารถหาซื้อได้ที่ร้านค้า Official ประจำสถานที่นั้นๆ เช่น TOKYO SKYTREE, Tokyo Disneyland, Universal Studios Japan หรือบางทีก็อาจเจอบ้างตามร้านขายของฝากตามแหล่งท่องเที่ยวในญี่ปุ่น
3. ของฝากหรือของขึ้นชื่อประจำท้องถิ่น
ข้อนี้อาจจะคล้ายกับข้อ 2 แต่เป็นแนว OTOP ผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น ซึ่งมีจำหน่ายตามร้านขายของฝากตามสถานที่ท่องเที่ยว ร้านขายของฝากในสถานีรถไฟ หรือร้านค้าทั่วไปในท้องถิ่นนั้นๆ โดยมีให้เลือกหลากหลายผลิตภัณฑ์ เช่น ขนม อาหารแห้ง และสินค้าแบบแฮนด์เมด บางครั้งแพ็คเกจอาจไม่ได้ดูหรูหรามาก แต่ก็สวยงามดูดีตามสไตล์การออกแบบของคนญี่ปุ่นค่ะ
4. สินค้าที่เป็นเอกลักษณ์ของญี่ปุ่น
ร้านขายของฝากสไตล์ญี่ปุ่น เช่น ตะเกียบ พัด ถ้วยชาม มีอยู่ทั่วไปตามสถานที่ท่องเที่ยว เครื่องรางญี่ปุ่นซึ่งเรียกว่า Omamori นั้นนักท่องเที่ยวก็นิยมซื้อกลับไปกันเพราะมีรูปลักษณ์เป็นเอกลักษณ์ โดยเป็นถุงผ้าเล็กๆ และมีสายห้อย พกติดตัวไปได้ มีหลายคำอธิษฐานให้เลือกอีกด้วย เช่น ด้านการเรียน การงาน ความรัก เป็นต้น สามารถหาซื้อได้ที่ศาลเจ้าและวัดวาอารามต่างๆ ทั้งนี้ตามความเชื่อของชาวญี่ปุ่น เครื่องรางจะมีอายุการใช้งานหนึ่งปี พอใช้ครบกำหนดคนญี่ปุ่นก็จะนำไปคืนสถานที่ที่ซื้อมาและซื้ออันใหม่มาแทน
5. อาหาร ขนม และเครื่องดื่ม
- อาหารสำเร็จรูปและกึ่งสำหรับรูป อย่างเช่น บะหมี่ แกงกะหรี่ ซุปมิโซะ ผงโรยข้าว
- ขนมของกินเล่น เช่น ช็อกโกแลตของ KitKat, Pocky, Meiji, Lotte เยลลี่ผลไม้ Kororo, มันฝรั่งทอด Calbee Jagariko
- เครื่องดื่มทั้งแบบสำเร็จและแบบชง เช่น ชาเขียว Itoen
ของกินเหล่านี้สามารถหาซื้อได้ตามร้านสะดวกซื้อ ร้านขายยา ซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านขายสินค้าลดราคา เช่น ร้านดองกิ (Don Quijote) ซึ่งมีอยู่ทั่วญี่ปุ่น, Takeya (หรือที่กันตึกปากว่าตึกม่วง) ที่ย่านอุเอโนะในโตเกียว ราคาอาจแตกต่างกันไปตามโปรโมชั่นของแต่ละร้าน และถ้าซื้อในร้านที่เป็น Tax-free Shop ครบ 5,000 เยนขึ้นไป ก็ไม่ต้องจ่ายภาษีด้วยค่ะ
6. เครื่องสำอาง
เครื่องสำอางเป็นอะไรที่ห้ามพลาดเลยสำหรับสาวๆ ราคาของแบรนด์ญี่ปุ่นเองที่ขายที่นี่ก็ถูกกว่าที่ขายที่ไทยเกือบครึ่งๆ เห็นราคาแล้วจะรู้สึกถูกมากจนอยากได้ไปหมด แถมยังมีร้านขายเยอะแยะพอๆ กับร้านสะดวกซื้อเลยทีเดียว เดินไปไหนก็ต้องเจอ ร้านที่คนไทยนิยมไปช้อปเครื่องสำอางก็มีร้านขายยา เช่น Matsumoto Kiyoshi ร้านขายสินค้าลดราคา เช่น ดองกิ (Don Quijote), ตึกม่วง (Takeya) หรือแม้แต่ร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้าอย่าง Bic Camera, Labi ก็ยังมีเครื่องสำอางวางขาย ซึ่งพวกเครื่องสำอางก็เป็นสินค้า Tax-free เช่นกัน สามารถนำไปรวมมูลค่ากับพวกอาหาร ขนมได้ค่ะ
ข้อมูลเพิ่มเติม:
· 18 แบรนด์เครื่องสำอางญี่ปุ่น ที่ไม่ควรพลาดเมื่อไปเยือนญี่ปุ่น!
7. อาหารเสริมและยา
อาหารเสริมญี่ปุ่นที่โด่งดังในหมู่คนไทยก็มีอาทิ
- วิตามินแบบซองของ DHC สำหรับบำรุงผิวและสุขภาพซึ่งมีให้เลือกยอะมากกก
- วิตามินบีรวม Alinamin ช่วยบำรุงประสาท ผ่อนคลายความเหนื่อยล้า
- คอลลาเจนผง Meiji เพื่อผิวเปล่งปลั่ง
ส่วนยาที่คนไทยนิยมซื้อก็มีอาทิ
- ยาหยอดตา ROHTO สำหรับลดความอ่อนล้าของดวงตาและบำรุงสายตา
- ยาแต้มสิว PAIR ช่วยลดสิวอักเสบยุบเร็วขึ้น
- ยาแก้ปวด EVE สำหรับบรรเทาอาการปวดต่างๆ เช่น ปวดหัว ปวดประจำเดือน
- พลาสเตอร์ยาแบบเหลว Sakamukea ซึ่งพอทาแล้วจะกลายเป็นฟิล์มบางๆ ปิดแผล
- แผ่นแปะแก้ร้อนในในปาก Konai-en Patch ที่ใครได้ลองใช้ก็ต้องบอกว่าเลิศมากกก
ข้อมูลเพิ่มเติม:
· “Matsumoto Kiyoshi” ร้าน Drugstore ญี่ปุ่นที่ขาช้อปต้องขอแวะ!
8. หน้ากากอนามัย
ตอนนี้ที่ไทยประสบปัญหาทั้งฝุ่น PM2.5 รวมถึงไวรัส หน้ากากอนามัยจึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับหลายๆ คน ที่ญี่ปุ่นมีหน้ากากอนามัยขายหลายแบบหลายฟังก์ชั่นมาก เช่น สำหรับผิวบอบบาง สำหรับคนใส่แว่น อีกทั้งยังมีหลายระดับการป้องกัน ตั้งแต่ฝุ่นขนาด 2.5 ไมครอน ไปจนถึงไวรัสขนาดเล็ก 0.1 ไมครอน ทั้งนี้ตอนเลือกซื้อควรระวังเรื่องขนาดเพราะจะมีทั้งไซส์ธรรมดา ไซส์เล็ก (สำหรับผู้หญิงหรือเด็กโต) และไซส์เด็ก
ข้อมูลเพิ่มเติม:
· หน้ากากอนามัยญี่ปุ่น…ซื้อหน้ากากกันฝุ่น PM2.5 กันไวรัส แบบไหนดี?
9. เสื้อผ้า
ญี่ปุ่นเป็นประเทศแห่งแฟชั่น เสื้อผ้าที่นี่จึงมีหลายแนวมากและมีร้านขายเยอะแยะมากมาย ซึ่งสามารถหาซื้อได้ง่ายตามแหล่งท่องเที่ยวและในห้างสรรพสินค้า เสื้อผ้าธรรมดาๆ จะอยู่ประมาณ 1,500 -2,000 เยน ถ้ามีดีเทลและดูดีหน่อยก็จะอยู่ที่ 4,000 เยนขึ้นไป ถ้าเป็นร้านที่ร่วม Tax-free ก็ต้องซื้อให้ครบ 5,000 เยน ในบิลเดียวกันจึงจะได้รับการยกเว้นภาษี แบรนด์เสื้อผ้าญี่ปุ่นที่คนไทยรู้จักดีก็มี Uniqlo, GU (อ่านว่าจียู), Earth music & ecology
ข้อมูลเพิ่มเติม:
· 30 แบรนด์เสื้อผ้าแฟชั่นสไตล์ญี่ปุ่นสวยๆ น่ารักๆ และน่าซื้อเมื่อไปญี่ปุ่น!!!
10. รองเท้า
ส่วนใหญ่ของคนไทยที่มาเที่ยวญี่ปุ่นคือต้องซื้อรองเท้าผ้าใบติดไม้ติดมือกลับบ้านเพราะรองเท้าแบรนด์ดังๆ เช่น On กำลังฮิต,Onitsuka Tiger, ASICS, Mizuno, adidas, Nike, New Balance ที่ขายอยู่ที่นี่ราคาถูกกว่าที่ไทยค่อนข้างมากและมีแบบให้เลือกเยอะกว่า สามารถหาซื้อได้ตามร้านขายอุปกรณ์กีฬา เช่น Alpen Tokyo, Art Sports ODBOX รวมทั้งแผนกรองเท้าและแผนกกีฬาในห้างสรรพสินค้าต่างๆ นอกจากนั้นแล้วร้านที่ขายรองเท้าโดยเฉพาะ อย่างเช่น ABC-MART ก็ยังตั้งเด่นอยู่แทบทุกแหล่งท่องเที่ยวพร้อมป้าย “SALE” ตัวเบ้อเริ่ม!
11. กระเป๋า
กระเป๋าเป้ญี่ปุ่นที่คนไทยรู้จักดีคงหนีไม่พ้นแบรนด์ anello ราคาอยู่ทีประมาณใบละ 6,000 – 7,000 เยน ซึ่งถูกกว่าแบรนด์ KANKEN ที่เคยฮิตมากๆ ก่อนหน้านี้ครึ่งหนึ่งได้ กระเป๋าในบางร้านก็ให้ราคาเป็น Tax-free เลยแม้ว่าจะซื้อสินค้าไม่ถึง 5,000 เยนซึ่งเป็นขั้นต่ำที่รับยกเว้นภาษีก็ตาม อันนี้ต้องดูป้ายกันดีๆ นะจ๊ะ
ส่วนใครที่มีงบเยอะ (เติม 0 จาก 5,000 อีกประมาณ 1 ตัวเป็นอย่างน้อย หุหุ) ก็จัดกระเป๋า Tote ของ BAO BAO ISSEY MIYAKE โลดดด ถ้าหากเป็นสาวหวาน ก็แนะนำแบรนด์หรูอย่าง Samantha Thavasa ส่วนแมนๆ ก็แนะนำเป็นแบรนด์ PORTER เลยจ้า
ข้อมูลเพิ่มเติม:
· กระเป๋าคอลเลคชั่นใหม่จากแบรนด์ BAO BAO ISSEY MIYAKE
12. ของใช้และเครื่องประดับเก๋ๆ
ของใช้ยอดฮิตอย่างแรกที่จะนึกถึงเลยก็คือ ร่มพับญี่ปุ่น ยี่ห้อที่แนะนำก็ Water Front เพราะราคาไม่แพง ใช้ทน มีแบบให้เลือกเยอะมาก หาซื้อง่าย ส่วนพวกเครื่องประดับ ไม่ว่าจะเป็น Accessory สำหรับแต่งตัวหรือประดับบ้านนั้นก็เก๋ไก๋ตามสไตล์ญี่ปุ่น หาซื้อได้ตามร้าน Loft, Hands, Muji ซึ่งมีสาขาอยู่ทั่วญี่ปุ่น
13. เครื่องเขียน
เครื่องเขียนญี่ปุ่นนั้นมีให้เลือกใช้สารพัดแบบสารพัดไอเดียจะสร้างสรรค์ เป็นของที่พลาดไม่ได้เลยหากได้มาเที่ยวญี่ปุ่น ของที่นิยมซื้อกลับมาก็มีพวกปากกาลบได้ ปากกาเปลี่ยนไส้ได้ ปากกาไฮไลท์ ดินสอกด เทปลบคำผิดและเทปลายน่ารักๆ เป็นต้น สามารถหาซื้อได้ตามร้าน Loft, Hands, Muji เช่นเดียวกันของใช้ต่างๆ
14. เครื่องใช้ไฟฟ้า
เครื่องใช้ไฟฟ้าเป็นสินค้า Tax-free ถ้าจะซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ญี่ปุ่น ควรเช็คราคาจากไทยไปด้วย บางทีก็ไม่ถูกกว่าเท่าไหร่ แถมบางครั้งประกันก็ยังไม่ครอบคลุมที่ไทยอีก นอกจากนั้นแล้วยังต้องระวังเรื่องกระแสไฟฟ้าเพราะที่ญี่ปุ่นใช้กระแสไฟฟ้า 100V ส่วนกระแสไฟฟ้าของไทยอยู่ที่ 220V สำหรับเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ใช้ที่ชาร์จต่างหากอย่างพวก กล้อง แท็บเล็ต นั้นไม่มีปัญหาอะไรเรื่องกระแสไฟ ร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้าดังๆ ในญี่ปุ่นมีอาทิ Bic Camera, Yodobashi Camera, LABI, LAOX เป็นต้น
ข้อมูลเพิ่มเติม:
· ปลั๊กไฟญี่ปุ่น กระแสไฟฟ้าที่ญี่ปุ่น เขาใช้แบบไหนกันนะ??
15. อุปกรณ์เสิร์มโทรศัพท์และเครื่องเล่นเกมส์
ถ้าให้เทียบเคสโทรศัพท์มือถือนั้น ที่ไทยมีให้เลือกเยอะมาก แถมราคายังถูกกว่าที่ญี่ปุ่นมากกก แต่โทรศัพท์แบรนด์ญี่ปุ่นก็ไม่ค่อยมีพวกเคสขายในไทยสักเท่าไหร่ ถ้าไปซื้อที่ญี่ปุ่นก็จะมีแบบให้เลือกเยอะดีและใช้ทนด้วย สำหรับเครื่องเล่นเกมส์ที่ขายที่นี่นั้นจะเป็นโซนญี่ปุ่น บางครั้งทางร้านก็อาจปฏิเสธไม่ขายให้กับนักท่องเที่ยว แถมยังเอากลับมาเข้าศูนย์ที่ไทยไม่ได้อีก แต่พวกอุปกรณ์เสริมสำหรับเกมส์สามารถซื้อได้ปกติไม่มีปัญหาอะไร ได้ Tax-free ด้วย
16. นาฬิกา
นาฬิกาก็เป็นสินค้า Tax-free เช่นกัน สามารถหาซื้อได้ตามร้านขายเครื่องใช้ฟ้า รวมถึงร้านขายสินค้าลดราคา Duty Free ในสนามบิน เป็นต้น แบรนด์นาฬิกาญี่ปุ่นยอดฮิต เช่น Casio, G-Shock, Baby-G, Seiko, Citizen นั้น ถ้าเจอที่ลดราคา 30% นั้นถึงจะคุ้ม บางครั้งถ้าไม่ลด รอซื้อที่ไทยช่วงที่มีโปรโมชั่นอาจถูกกว่าด้วยซ้ำค่ะ ไม่เช่นนั้นก็ซื้อเป็นรุ่น Japan Limited Edition แต่ยังไงแล้วแนะนำว่าควรจะเช็คราคาที่ไทยก่อนไปซื้อจะดีกว่านะคะ
17. สินค้าจากร้าน 100 เยน
ร้าน 100 เยน ในญี่ปุ่นมีหลายแบรนด์ เช่น Daiso, Can★do, Seria สินค้าในร้านมีมากมายทุกหมวดหมู่ ตั้งแต่ของกินไปถึงของใช้ ราคา 100 เยน รวมภาษีเป็น 110 เยน ตีเป็นเงินไทยไม่ถึง 30 บาท แล้วแต่ค่าเงิน ถือว่าเป็นราคาที่เหมาะมากๆ สำหรับซื้อเป็นของฝากคนอื่น หรือจะซื้อกลับมาใช้เองเพราะถูกกว่าซื้อในไทยไปครึ่งนึง
18. ของเล่นและสินค้าจากการ์ตูน
ร้านขายของจากการ์ตูนที่ญี่ปุ่นที่นักท่องเที่ยวนิยมไปแวะก็มีร้าน Disney Store, Sanrio Store, Donguri Kyowakoku (สินค้าของ Ghibli) และ Kiddy Land ที่รวมทั้งของเล่นและสินค้าต่างๆ จากการ์ตูนมาไว้ที่เดียว นอกจากนั้นเหล่าคาร์แรคเตอร์ที่ดังๆ ก็จะมีร้านแยกเป็นของตัวเอง เช่น Kitty, Rilakkuma, Pokemon, Miffy, SNOOPY, Moomin เป็นต้น
สำหรับแหล่งขายของเล่นที่โด่งดังก็ได้แก่ ย่าน Akihabara ที่โตเกียว และย่าน DENDEN Town ที่โอซาก้า และใครที่อยากได้ของฝากจากญี่ปุ่นน่ารักๆ อย่างโมเดลจิ๋ว ตุ๊กตาเกาะขอบแก้วที่ราคาไม่แพง ประมาณ 200-500 เยน ก็ขอแนะนำ Gachapon ซึ่งหาตู้หมุนนี้ได้ง่ายตามสถานที่ต่างๆ รวมถึงในสนามบินไว้ให้ละลายเหรียญก่อนกลับ อิอิ
ส่วนคนที่ชื่นชอบ Art Toy อย่าง Labubu ที่กำลังฮิตสุดๆ ในตอนนี้ ที่ญี่ปุ่นก็มีร้าน POP MART ให้ช้อปเช่นกันค่ะ โดยมีสาขาอยู่ในย่านช้อปปิ้งทั้งฝั่งโตเกียว ได้แก่ Harajuku, Shibuya, Ikebukuro, Shinjuku และฝั่งโอซาก้า ได้แก่ Shinsaibashi, Tennoji หากโชคดีไปวันที่เติมของพอดี ก็อาจจะได้ของฝากติดไม้ติดมือกลับมานะคะ
19. สินค้าจากสถานีโทรทัศน์
สถานีโทรทัศน์ของญี่ปุ่นอย่างเช่น Nippon TV, Fuji TV, TBS, TV Asahi จะต้องมีมาสคอร์ตเป็นตัวการ์ตูนและจะทำสินค้าออกมาขายสารพัดชนิด รวมถึงละคร รายการต่างๆ และการ์ตูนที่ฉายทางช่องนั้นๆ ก็ยังมีสินค้าเป็นของตัวเองมาวางจำหน่ายด้วย สินค้าเหล่านี้สามารถหาซื้อได้ที่ร้านภายในสถานีโทรทัศน์เอง และร้านที่อยู่ภายในสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ เช่น Tokyo Station, Tokyo Skytree เป็นต้น
20. สินค้าของไอดอล
สำหรับสาวก J-POP คงต้องมาเสียทรัพย์ที่นี่แบบเรา ไปญี่ปุ่นทีไร ต้องหมดเงินไปกับรูปดารามากมาย ไม่ว่าจะเป็นรูป Official และ Unofficial (รูปละประมาณ 150-200 เยน) รวมถึงสินค้าอื่นๆ ที่แต่ละศิลปินต่างออกมารูดทรัพย์เรา แหล่งขายสินค้าเหล่านี้หาได้ง่ายที่ย่านฮาราจูกุในโตเกียวซึ่งเป็นแหล่งช้อปปิ้งยอดฮิตของวัยรุ่น
21. หนังสือและนิตยสาร
หนังสือและนิตยสารที่ญี่ปุ่นเค้ามีความเก๋ตรงที่พ่วงของพรีเมี่ยมมาด้วย ส่วนใหญ่จะเป็นกระเป๋า พวกของใช้อื่นๆ ก็มีบ้าง เช่น ร่ม นาฬิกา ถ้าเป็นหนังสือจะเป็นของแบรนด์นั้นโดยตรง ด้านในจะมีแคตตาล็อกของสินค้ามาด้วย ของที่ให้มาทั้งสวยและดูดีมาก ราคาไม่แพงอยู่ประมาณ 1,500-2,000 เยน ส่วนของพรีเมี่ยมที่มากับนิตยสารจะดูก๊อกแก๊งกว่า แต่ราคานิตยสารจะอยู่เพียงประมาณ 700-900 เยน
ส่งท้าย
เป็นอย่างไรกันบ้างคะ…กับ 21 ไอเดียของฝากน่าซื้อจากญี่ปุ่น ทั้งหมดที่เขียนมานี้มาจากประสบการณ์การช้อปที่ผ่านมาของตัวเองและการอ่านรีวิวตามแหล่งต่างๆ มิได้ค่าคอมมิสชั่นแต่อย่างได้นะ หุหุ หากใครมีไอเดียของฝากจากญี่ปุ่นเด็ดๆ นอกเหนือจากนี้ก็สามารถเอามาแชร์เพื่อนๆ ได้นะคะ สำหรับวันนี้ขอลาไปก่อน สวัสดีค่าาา
⚠️ ประเทศญี่ปุ่นมีการปรับภาษีจาก 8% เป็น 10% เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2019
บทความโดย KZY
รูปภาพโดย KZY, 5tHbeaR
ค้นหาโรงแรมที่พักในญี่ปุ่น
บทความช้อปปิ้งญี่ปุ่น
- 25 ร้านขายของญี่ปุ่น & ร้านของฝากที่ห้ามพลาดเมื่อไปเที่ยวญี่ปุ่น
- 21 ไอเดียของฝากจากญี่ปุ่น ของฝากน่าซื้อ ห้ามพลาด! ไปญี่ปุ่นซื้ออะไรดี?
- 18 แบรนด์เครื่องสำอางญี่ปุ่น ที่ไม่ควรพลาดเมื่อไปเยือนญี่ปุ่น!
- Japan 101 ติวเข้มก่อนไปญี่ปุ่น! 60 ข้อน่ารู้เมื่อไปเที่ยวญี่ปุ่นด้วยตัวเอง
- คู่มือเที่ยวญี่ปุ่น (Japan Guide) เมืองน่าเที่ยว & สถานที่ท่องเที่ยวฮิต
- คู่มือเที่ยวโตเกียว (Tokyo) แนะนำสถานที่ท่องเที่ยวโตเกียวสุดฮิต
รูปภาพที่มีโลโก้และบทความในเว็บไซต์ ถือเป็นลิขสิทธิ์ของ JapanKakkoii.com