วันนี้แอดมินจะพาทุกคนไปขึ้นเขาชมความงดงามของ วัดยามาเดระ (Yamadera Temple) ที่จังหวัดยามากาตะ (Yamagata) กันค่ะ ในบทความนี้เราจะพาเดินทางตั้งแต่จุดเริ่มต้นทางขึ้นเขา ไปจนถึงจุดสูงสุดของวัดยามาเดระ เพื่อไปชมวิวสวย ๆ จากมุมสูงที่หลายคนยกให้เป็นหนึ่งในจุดชมวิวที่งดงามที่สุดของจังหวัดยามากะตะ มาดูกันค่ะว่าทางขึ้นจะเป็นอย่างไร และบนยอดเขานั้นจะสวยงามแค่ไหน!

เกี่ยวกับวัดยามาเดระ (Yamadera Temple)

วัดยามาเดระ (Yamadera Temple /山寺) นั้นแปลตามตัวได้ว่า “วัดภูเขา (Mountain Temple)” หากเรียกชื่ออย่างเป็นทางการก็คือ “วัดริชชะคุจิ (Risshakuji Temple / 立石寺)” เป็นวัดพุทธของนิกายเทนได (Tendai) ก่อตั้งโดยจิคาคุ ไดชิ (Jikaku Daishi) เมื่อปี ค.ศ. 860

ตัววัดยามาเดระตั้งอยู่บนเขาในเมืองยามากาตะ (Yamagata) ของจังหวัดยามากาตะ (Yamagata) ในภูมิภาคโทโฮคุ (Tohoku) เป็นที่เที่ยวที่ได้รับความนิยมอย่างมากด้วยความงดงามของทิวทัศน์และความเก่าแก่ของวัด โดยอาคารใหญ่ด้านหน้าวัดนั้นได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นสถานที่สำคัญทางวัฒนธรรมแห่งชาติ นอกจากนี้ ยังมีส่วนต่างๆ ที่สร้างเอาไว้ในพื้นที่บนเขา จึงเป็นที่มาของคำว่า “วัดภูเขา (Mountain Temple)” หรือ “Yamadera (山寺)” ในภาษาญี่ปุ่นนั่นเอง

ข้อมูลเยี่ยมชมวัดยามาเดระ (Yamadera Temple)

เวลาทำการและค่าธรรมเนียม

  • เวลาทำการ:
    • เมษายน-พฤศจิกายน 8:00-16:00 น.
    • ธันวาคม-มีนาคม 8:30-15:00 น.
  • ค่าเข้าชม (ตั้งแต่โซนขึ้นเขา)
    • ผู้ใหญ่ (นักเรียนมัธยมต้นขึ้นไป) 500 เยน
    • เด็ก (อายุ 4 ปีขึ้นไป) 200 เยน

พยากรณ์ใบไม้เปลี่ยนสี

ปีวันที่เริ่มพีควันที่ร่วง
20256 พฤศจิกายน ~16 พฤศจิกายน ~
20246 พฤศจิกายน ~14 พฤศจิกายน ~
※ข้อมูลจาก weathernews.jp (อัปเดต 10 ตุลาคม 2025)

วิธีเดินทางมาวัดยามาเดระ (Yamadera Temple)

  • นั่งรถไฟสาย Zensan Line มาลงที่สถานี Yamadera แล้วเดินอีกประมาณ 5 นาทีจะถึงประตูทางเข้าวัดยามาเดระ
  • เมื่อเข้าสู่เขตวัดแล้ว จะต้องเดินขึ้นบันไดหินราว 1,000 ขั้น ใช้เวลาประมาณ 40–60 นาที เพื่อไปถึงบริเวณด้านบน

บทความรีวิว: การเดินทางเซนได-ยามาเดระ (Sendai – Yamadera)

แนะนำพาสเที่ยวโทโฮคุ

Klook.com

รีวิววัดยามาเดระ (Yamadera Temple)

Konponchudo

เดินจากสถานี Yamadera เมื่อมาถึงประตูทางเข้าตรงตีนเขา จะเริ่มเข้าสู้บริเวณวัดยามาเดระ (Yamadera Temple) สิ่งปลูกสร้างแรกที่เราจะพบคือ อาคารหลัก (Main Hall) “Konponchudo” ซึ่งเป็นสถานที่สำคัญทางวัฒนธรรมแห่งชาติ กล่าวกันว่าอาคารนี้ได้ถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ 1356 โดยท่านคาเนโยริ ชิบะ (Kaneyori Shiba) ซึ่งเป็นผู้ปกครองยามากาตะในขณะนั้น

ด้านขวามือ (ถ้าหันหน้าเข้าหาอาคารหลัก) ก็มีต้นเมเปิ้ลอยู่เช่นกันค่ะ เป็นการจัดสวนแบบญี่ปุ่นที่เราสามารถเห็นได้ตามวัดแบบญี่ปุ่นที่เก่าแก่ค่ะ อีกทั้งยังมีป้ายประกาศติดเอาไว้ด้วย คาดว่าเป็นประวัติต้นไม้และอายุคงเก่าแก่มากเช่นกัน ส่วนด้านในลึกเข้าไปไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวเข้าค่ะ

ด้านขวามือ (ถ้าหันหน้าเข้าหาอาคารหลัก) ของอาคาร Konponchudo คือต้นแปะก๊วยขนาดยักษ์ที่เริ่มร่วงเต็มพื้นแล้วค่ะ แต่ว่ายังไม่ค่อยเปลี่ยนสีให้เห็น เพราะโดยทั่วไปแล้วต้นแปะก๊วยจะเปลี่ยนสีช้ากว่าต้นเมเปิ้ลค่ะ โดยต้นเมเปิ้ลจะเปลี่ยนสีในช่วงเดือนพฤศจิกายน แต่แปะก๊วยจะเปลี่ยนสีประมาณปลายพฤศจิกายนไปจนถึงธันวาคมเลยค่ะ

ในบริเวณใกล้ๆ ต้นแปะก๊วยยักษ์ เราสามารถพบลานพระพุทธรูปขนาดจิ๋วเรียงรายกันน่ารักมากๆ คือมีจำนวนเยอะมาก รวมทั้งมีกังหันลมด้วย เป็นเครื่องยืนยันว่ามีการขอพรตามความเชื่อของคนในประเทศญี่ปุ่นตามแบบฉบับของเขาเอง โดยส่วนใหญ่จะเป็นความเชื่อในทางพุทธศาสนาสายมหายาน เนื่องจากได้รับอิทธิพลมาจากจีนค่ะ วัฒนธรรมบางส่วนจึงมีความคล้ายคลึงกัน

เดินเลยต้นแปะก๊วยมา ใต้ต้นแปะก๊วย เราก็จะพบกับร้านขายของท้องถิ่นด้วยค่ะ มีขนมและของใช้พื้นเมือง รวมไปถึงตู้กดน้ำเอาไว้บริการนักท่องเที่ยวด้วย เพื่อนๆ ที่ไม่ได้เตรียมน้ำหรือเครื่องดื่มมาด้วยแนะนำให้ซื้อจุดนี้เลยค่ะ แนะนำว่ามองหาจุดทิ้งขยะดีๆ นะคะ ก่อนจะเดินเข้าป่าหรือสถานที่ที่เป็นธรรมชาติ แนะนำให้ทิ้งขยะให้เรียบร้อยก่อนทุกครั้งให้เป็นนิสัยค่ะ

เดินเลยร้านขายของไปอีกนิดจะเจออาคารอื่นๆ ของวัด ข้างๆ อาคารญี่ปุ่นทรงเก่าแก่จะมีต้นเมเปิ้ลและต้นไม้ชนิดอื่นๆ ที่กำลังเปลี่ยนสีให้เราชื่นชมกันด้วย ตัวอาคารมีลักษณะคล้ายกับที่พำนักของคนญี่ปุ่นสมัยเก่าอยู่ด้วยค่ะ

เดินเลยมาเรื่อยๆ จะพบกับจุดไหว้พระขอพระค่ะ ตรงนี้สามารถเข้าไปขอพรได้ ด้านหน้ามีเชือกให้แกว่งคล้ายกับวัดญี่ปุ่นทั่วไป กล่องไม้ด้านหน้าก็เป็นที่โยนเหรียญเพื่อทำบุญ

🙏 วิธีการขอพร

  • การทำบุญในวัดหรือศาลเจ้าญี่ปุ่นจะนิยมทำบุญด้วยเหรียญ 5 เยนค่ะ เนื่องคนญี่ปุ่นเชื่อว่าเหรียญ 5 เยนเป็นเหรียญนำโชคนั่นเอง
  • ให้โยนเหรียญในกล่อง โค้ง 2 ครั้ง ปรบมือ 2 ครั้ง แล้วค่อยทำการขอพร จากนั้นให้โค้งปิดท้ายอีกครั้งค่ะ

ถัดจากอาคารเมื่อครู่ก็จะมีเสาโทริอิหินขนาดใหญ่ตั้งอยู่ค่ะ เป็นทางเชื่อมนำไปสู่อาคารต่อไป ข้างเสาหินนี้ก็มีต้นเมเปิ้ลขนาดใหญ่อยู่ด้วย กำลังเปลี่ยนสีเป็นสีแดงแกมส้ม สวยมากเลยค่ะ วันที่แอดมินไปเที่ยวตรงกับวันที่ 13 พฤศจิกายน 2016 ซึ่งอยู่ในช่วงที่เหมาะกับการชมใบไม้เปลี่ยนสีพอดี

ตามความเชื่อของคนญี่ปุ่น เสาโทริอิ ถือว่าเป็นประตูสู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ค่ะ คนญี่ปุ่นที่อายุมากหน่อย หรือมีศรัทธาแรงกล้า มักจะหยุดคำนับเทพเจ้าก่อนเล็กน้อยจึงจะผ่านประตูเสาโทริอิค่ะ อย่างไรก็ตามการมีโทริอิหมายความความเชื่อในเทพเจ้าของคนญี่ปุ่น จึงเป็นสัญลักษณ์ของศาลเจ้าในฝั่งชินโต ไม่ใช่ฝั่งศาสนาพุทธค่ะ

สำหรับคนที่ชื่นชอบธรรมชาติ ชมต้นเมเปิ้ลสวยๆ ก็ต้องหยุดชมต้นนี้นานๆแน่นอนค่ะ โดยเฉพาะเมื่อยามใบเมเปิ้ลต้องแสงแดดก็จะมีความโรแมนติกเบาๆ สีสันชวนมองสุดๆ ยิ่งต้นใหญ่ๆ ที่ปกคลุม แล้วมีแสงแดดที่ลอดลงมาด้วย ยิ่งสวยงาม เลอค่าสุดๆ

ความใหญ่โตของต้นไม้หน้าอาคารค่ะ เป็นได้ทั้งร่มไม้และสุนทรีย์ทางสายตาอีกด้วย

เดินผ่านต้นไม้ที่มีสีแสดแดงมาแล้ว เดินมาเรื่อยๆ ตามอุโมงค์เมเปิ้ลก็จะเจอต้นที่กำลังเปลี่ยนจากเขียวเป็นเหลือง และเหลืองเป็นสีแสดบริเวณปลายยอดกิ่งค่ะ ต้นไม้บางชนิดจะเปลี่ยนเป็นสีส้ม แดง เหลือง และบางชนิดก็ไม่เปลี่ยนสี เป็นคุณสมบัติเฉพาะตัวของต้นไม้แต่ละชนิดนั่นเองค่ะ ทำให้เราได้เห็นสีสันสวยงามไม่รู้เบื่อ

เดินผ่านอุโมงค์เมเปิ้ลสั้นๆ จะเจอทางขึ้นเขาจริงๆ ก่อนทางขึ้นก็มีแผนที่บอกจุดต่างๆ อย่างละเอียดเอาไว้ด้วย สำหรับคนที่มีเวลามากหน่อย อยากให้อ่านเอาไว้ค่ะ มีภาษาอังกฤษด้วย เพราะด้านบนมีอะไรให้ดูเต็มไปหมดเลย หากพกความรู้ไปด้วยเราจะเที่ยวได้สนุกมากขึ้นนะคะ แอดมินแนะนำให้ถ่ายรูปเก็บเอาไว้ในโทรศัพท์เลยค่ะได้ใช้แน่นอน

ตั๋วขึ้นเขาสำหรับผู้ใหญ่ราคา 300 เยน (ปัจจุบันปรับขึ้นเป็น 500 เยน) ไม่แพงค่ะ แต่บอกไว้ก่อนสำหรับคนที่มีผู้ร่วมทางอายุเยอะหรือเจ็บข้อเข่า ควรพิจารณาให้ดีก่อนขึ้น เพราะที่นี่มีบันไดไปยังชั้นบนสุดถึง 1,000 ขั้นเลยค่ะ ใช้เวลาเดินขึ้นประมาณ 1 ชั่วโมง และไม่มีลิฟต์หรือกระเช้าใดๆ ช่วยทั้งสิ้นนะคะ ตอนขึ้นว่าปวดแล้ว ขาลงยิ่งทรมานเข่าเหนือคำบรรยาย

นี่คือภาพในระยะ 100 เมตรหลังจากเราเข้าเขตขึ้นเขาค่ะ ต้นไม้สูงใหญ่ผิดกับด้านนอกลิบลับเลย คาดว่าต้นไม้แต่ละต้นนั้นมีอายุยาวนานพอสมควร เพราะสูงใหญ่มาก และบรรยากาศดีมากๆ ด้วย ลมเย็นสบาย ใบไม้ที่กำลังเปลี่ยนเป็นสีเหลืองก็เป็นอาหารตาได้ดีเหลือเกิน

เมื่อเดินขึ้นไปในบริเวณชั้นสูงๆ ก็เริ่มมีสิ่งก่อสร้างให้เราดูกันแล้วค่ะ ทั้งพระพุทธรูปหิน ป้ายสลักที่คล้ายกับเป็นการลงพิมพ์ลงไปในหินของภูเขา เริ่มให้ความรู้สึกว่าคล้ายกับวัดเก่าแก่ของจีนที่มักมีการสลักสิ่งต่างๆ ไว้ตามหิน

นอกจากป้ายสลักหินแล้ว ก็ยังมีบรรดารูปสลักซึ่งมีอยู่หลายรูปแบบ หลายองค์ผูกผ้ากันเปื้อนสีแดงเอาไว้ด้วย สมมติฐานเกี่ยวกับผ้ากันเปื้อนสีแดงจิโซมีลักษณะคล้ายทารกและเด็กที่คอยปกป้องพวกเขา ‘อะกะ’ (赤 ภาษาญี่ปุ่นแปลว่าสีแดง) เกี่ยวข้องกับ ‘อะกะจัง’ (赤ちゃん ภาษาญี่ปุ่นแปลว่าทารก) สีแดงจึงหมายถึง ชีวิต ดวงอาทิตย์ และเลือด

เชื่อกันว่าจิโซช่วยให้เด็กเติบโตอย่างแข็งแรงและช่วยกอบกู้ดวงวิญญาณของทารกในครรภ์ที่แท้งและไม่สามารถขึ้นสวรรค์ได้ ผ้ากันเปื้อนสีแดงยังสื่อถึงความปรารถนาของมนุษย์ และความปรารถนาที่จะกำจัดความปรารถนาที่ไม่จำเป็นออกไป

เมื่อมองผ่านแมกไม้ขึ้นไป เราจะเห็นสีฟ้าสดใสตัดกับสีแดงอมส้มของบรรดาต้นไม้บนหน้าผาและตามสันเขาที่กำลังเปลี่ยนสี เป็นการชมความงามของฤดูใบไม้ร่วงที่มีเสน่ห์เฉพาะตัวอย่างมาก จากระดับความชัน และลักษณะของภูเขา ต้นไม้สูง เป็นสภาพแวดล้อมที่ทำให้อากาศเย็นตลอดการเดิน เหมาะกับการเดินชิลๆ ที่ไม่เร่งรีบค่ะ

หากสังเกตดูดีๆ จะเห็นแสงสีเงินระยิบระยับอยู่บนผนังหินด้านบน ตรงนั้นคือบรรดาเหรียญหนึ่งเยนค่ะ ทั้งงหมดนั้นสามารถตั้งอยู่ได้โดยไม่มีอะไรยึดติด ซึ่งเป็นหนึ่งในกิจกรรมที่นิยมสำหรับผู้ที่เดินทางมายังวัดยามาเดระแห่งนี้นั่นเอง คาดว่าเป็นกิจกรรมหนึ่งที่คนไทยต้องชอบอย่างแน่นอน

หลังจากเดินขึ้นมาหรือบางคนอาจจะคลานขึ้นมาด้วยความเหนื่อย ในที่สุดเราก็เจอตัวอาคารที่เริ่มมีลักษณะคุ้นหูคุ้นตาบ้างแล้ว เหมือนเป็นหมู่บ้านบนภูเขาเลยค่ะ เนื่องจากทางเดินที่ขึ้นมาเต็มไปด้วยหน้าผา จุดนี้จึงเหมือนเป็นช่องเขา ทำให้รู้สึกถูกโอบล้อมไปด้วยธรรมชาติของบรรดาต้นไม้ใบหญ้าที่กำลังเปลี่ยนสี เป็นสถานที่ที่เหมาะแก่การมาพักผ่อนตากอากาศ หรือการปฎิบัติธรรมมากๆ เพราะขึ้นมาบนนี้ก็ยากลำบากพอสมควรค่ะ

ตามรายทางด้านบนก็เริ่มพบกับต้นเมเปิ้ลสีต่างๆ บ้างแล้วค่ะ ด้านล่างเขาจะเป็นต้นใหญ่ที่เราเห็นไปด้านบน แต่บนยอดเขา เราจะเจอกับต้นที่เป็นใบไม้สีแดงหรือสีส้มทั้งต้นเลยค่ะ เมื่อเดินผ่านเหล่าอาคารต่างๆ ถ้าหันกลับไปมอง เราจะเริ่มเห็นวิวของเมืองด้านล่างรวมถึงทิวทัศน์ภูเขาที่กว้างมากก เนื่องจากจุดชมวิวจะเป็นช่องเขาพอดีลมจะเย็นสบายเป็นพิเศษค่ะ ตอนที่เราไปเป็นกลางเดือนพฤศจิกายน ใบไม้บนภูเขาเริ่มเลี่ยนสีประมาณ 60% ก็นับว่าสวยมากแล้วค่ะ

Kaizando

นอกจากจุดชมวิวนี้แล้วก็ยังสามารถขึ้นไปชมอาคารเก่าแก่ที่หลายๆ คนใช้เป็นมุมถ่ายรูปค่ะ Kaizando นี้ก็เป็นอาคารที่ตั้งอยู่ติดกับหน้าผาเลย เป็นคล้ายศาลเจ้าเล็กๆ และมีสิ่งก่อสร้างเก่าๆ สร้างอยู่บนชะง่อนหินอีกด้วย คือส่วนตัวก็อยากจะดูใกล้ๆ แต่ขอสลิงมาผูกกันตกด้วยจะได้ไหม อิ อิ คนสร้างนี่ต้องใจกล้าแค่ไหน ชะง่อนหินก็แหลม ข้างล่างก็เหว เสียวสุดๆ

Nokyodo

นอกจากจุดนี้แล้ว มองไปด้านบนก็ยังเป็นหน้าผาของหุบเขาแห่งนี้ค่ะ สามารถขึ้นไปด้านบนได้อีก ยิ่งสูงจะยิ่งได้วิวที่สวยงามค่ะ แต่เสียดายเราไม่ได้ขึ้นไปถึงจุดนั้นเนื่องจากต้องลงไปรอรถไฟแล้วค่ะ เรามีเวลาเที่ยวที่นี่เพียงแค่ครึ่งวันเองค่ะ

การเที่ยววัดแห่งนี้สำหรับเราเป็นอะไรที่น่าสนุกนะคะ ดูธรรมชาติไป ปีนเขาเบาๆ ได้ชมวิวมุมสูง ได้เยี่ยมชมสมบัติเก่าแก่ของญี่ปุ่น ใครจะเชื่อว่าบนเขาสูงๆ แห่งนี้ก็มีคนมาสร้างอะไรต่างๆ ไว้กว่าหนึ่งพันปี ในขณะที่ทัศนียภาพของป่าเขาและสิ่งก่อสร้างยังคงหลงเหลือให้เห็นค่อนข้างสมบูรณ์

ส่งท้าย

การเที่ยววัดยามาเดระ (Yamadera Temple) สำหรับแอดมินอยากให้ใช้เวลาทั้งวันค่ะ แนะนำให้มาตอนเช้า ถึงช่วงสายๆ จะได้แสดงส่องเข้าภูเขา ถ่ายรูปสวยค่ะ แต่หากออกสาย แล้วมาถึงช่วงเที่ยงจะเป็นช่วงพระอาทิตย์ตรงหัว ถ่ายรูปจะหน้าดำ ถ่ายยากค่ะ

นอกจากตัววัดด้านบนแล้วก็อย่างให้ทุกคนใช้เวลาสบายๆ กับการเดินทางด้านล่างด้วย ธรรมชาติสวยไม่แพ้กันค่ะ หากมีเวลาก็อยากให้ทุกคนมาเที่ยวที่นี่กันค่ะ รับรองไม่ผิดหวัง วันนี้เราก็ขอลาไปก่อนเพียงเท่านี้กับภาพวิวสะพานก่อนถึงตีนเขานะคะ ธรรมชาติที่นี่ยอดเยี่ยมมากๆ จนต้องถ่ายเอาไว้ สวัสดีค่า

บทความเที่ยวเซนได (Sendai) ดูทั้งหมด »

› เมืองเซนได
› แหล่งท่องเที่ยวใกล้เคียง

รูปภาพที่มีโลโก้และบทความในเว็บไซต์ ถือเป็นลิขสิทธิ์ของ JapanKakkoii.com