หลังจากเที่ยวรอบๆ เมืองไอสุวากามัตซึ (Aizu- Wakamatsu) ซึ่งเป็นเมืองท่องเที่ยวขึ้นชื่อของจังหวัดฟุคุชิมะ (Fukushima) กันไปแล้ว วันนี้เราจะพามาเที่ยวในเมืองนี้กันบ้างค่ะ และสำหรับในรีวิวครั้งนี้ แอดมินก็ขอนำเสนอ “ปราสาทสึรุกะ (Tsuruga Castle)” หรือเป็นที่รู้จักกันในนามของ “ปราสาทนกกระเรียน” นะคะ

เกี่ยวกับปราสาทปราสาทสึรุกะ (Tsuruga Castle)

ปราสาทสึรุกะ (Tsuruga Castle / 鶴ヶ城 [Tsuruga-jo]) แปลเป็นภาษาไทยว่า “ปราสาทนกกระเรียน” ตั้งอยู่ที่เมืองไอสุวากามัตสึ (Aizu- Wakamatsu) ของจังหวัดฟุคุชิมะ (Fukushima) สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1384 และถูกทำลายไปในสมัยเมจิปี ค.ศ. 1874 หลังสงครามโบชิน (ขณะนั้นปราสาทอายุ 490 ปี) และสร้างขึ้นใหม่ในปี ค.ศ. 1965

ตัวปราสาทสึรุกะนั้นมีสีขาวสะอาดตาและคงความเป็นสถาปัตยกรรมเก่าแก่เอาไว้ ในฤดูใบไม้ผลิตัวบริเวณปราสาทจะล้อมรอบด้วยซากุระถึง 1,000 ต้น และในฤดูหนาวจะมีหิมะเกาะตามหลังคา ซึ่งทำให้ตัวปราสาทเป็นสีขาวทั้งหลัง อีกทั้งในตอนกลางคืนก็ยังมีการจัดแสดงไฟอย่างสวยงามอีกด้วย

  • เวลาทำการ: ทุกวัน 8:30 – 17:00 น. (ประตูทางเข้าเปิดถึง 16:30 น.)
  • ค่าเข้าชม:
    • เฉพาะเข้าชมปราสาท 410 เยน
    • ค่าเข้าชมปราสาท + Rinkaku Tea House 510 เยน
  • ที่อยู่: [ดูแผนที่]

วิธีการเดินทางมาปราสาทสึรุกะ (Tsuruga Castle)

• การเดินทางจาก Fukushima → Aizu-Wakamatsu

การเดินทางจากฟุคุชิมะนั้นง่ายมากค่ะ เพียงนั่งรถไฟชินคันเซ็น 13 นาที จากสถานี Fukushima หรือรถไฟ JR TOHOKU LINE 50 นาที ลงที่สถานี Koriyama แล้วจึงต่อรถไฟสาย JR BAN-ETSU-WEST LINE อีก 80 นาที ลงสถานี Aizu-Wakamatsu จากนั้นต่อด้วยรถบัส Aizu Loop Bus อีกประมาณ 15 นาทีเพื่อเดินทางมายังปราสาทค่ะ (อธิบายเพิ่มเติมด้านล่าง)

※ใช้ JR Pass (All area), JR East Pass (Tohoku area), JR East-South Hokkaido Rail Pass ได้ตลอดเส้นทางจนถึงสถานี Aizu-Wakamatsu

ทว่าการนั่งชินคันเซ็นควรดูรอบรถจากสถานี Koriyama มายัง Aizu-Wakamatsu ให้ดีนะคะ เพราะมีช่วงเวลาที่รอรถออกนาน ทำให้เวลาที่ถึงจุดหมายยาวนานเท่ากับการนั่งรถไฟธรรมดาเลยทีเดียว

• การเดินทางจาก Tokyo → Aizu-Wakamatsu

หลายคนอาจจะสงสัยว่าทำไมจึงแยกการเดินทางจากฟุคุชิมะและโตเกียวนะคะ เพราะการเดินทางจากโตเกียวด้วยรถไฟนั้นสามารถลงที่สถานี Koriyama ซึ่งอยู่ก่อนจะถึงสถานี Fukushima แล้วนั่งรถไฟมายังสถานี Aizu-Wakamatsu ได้เลย โดยไม่ต้องเดินทางกลับไปกลับมานั่นเอง

การเดินทางด้วยรถไฟ

เพียงแค่นั่งรถไฟจากสถานี Tokyo หรือ Ueno ครงมาลงที่สถานี Koriyama แล้วจึงต่อรถไฟสาย JR BAN-ETSU-WEST LINE อีก 80 นาที ลงสถานี Aizu-Wakamatsu ได้เลยค่ะ จากนั้นต่อด้วยรถบัส Aizu Loop Bus อีกประมาณ 15 นาทีเพื่อเดินทางมายังปราสาทค่ะ (อธิบายเพิ่มเติมด้านล่าง)

※ใช้ JR Pass (All area), JR East Pass (Tohoku area), JR East-South Hokkaido Rail Pass ได้ตลอดเส้นทางจนถึงสถานี Aizu-Wakamatsu

การเดินทางด้วยรถบัส

การเดินทางด้วยรถบัสนั้นไม่ยากเลยค่ะ มีทั้งแบบกลางวันและแบบกลางคืน โดยการเดินทางกลางวันจะใช้เวลาเดินทางจากโตเกียวประมาณ 4.5 ชั่วโมง ในกรณีที่เป็น Night Bus จะใช้เวลาในการเดินทาง 7 ชั่วโมง โดยออกจากต้นทางคือ Shinjuku Bus Highway Terminal ปลายทางคือ Aizu-Wakamatsu Station ค่าโดยสารอยู่ที่ 4,800 เยน/เที่ยว แบบไป-กลับ ราคา 7,400 เยน

ส่วนบริษัทที่ให้บริการรถบัสนั้นก็มีหลายเจ้าค่ะ เช่น JR BUS KANTO เจ้านี้ใช้ได้อยู่นะคะ เพราะเคยใช้บริการในเส้นทางอื่น เว็บไซต์มีภาษาอังกฤษและตรวจสอบทางอินเทอร์เน็ตได้ค่ะ (ตรวจสอบเวลารถบัส » ที่นี่)

• การเดินทางจาก Aizu-Wakamatsu → Tsuruga Castle

หลังจากที่มาถึงสถานี Aizu-Wakamatsu แล้ว ก็ต้องไปหารถบัสเพื่อเดินทางไปยังปราสาทสึรุกะค่ะ โดยสามารถไปถามที่ Information ซึ่งจะอยู่หน้าสถานีเลย (ด้านนอก)

เห็นหน้าตาแบบนี้แต่ว่ามีคุณป้าใจดีอยู่ข้างในนะคะ สามารถเข้าไปซื้อบัตรขึ้นรถบัสได้ที่นี่ ซึ่งตั๋วที่แอดมินแนะนำคือ Aizu-Wakamatsu Loops Bus 1 Day Pass

ข้อมูลเกี่ยวกับพาส

  • การใช้งาน: ใช้รถบัสรอบตัวเมืองไอสุวากามัตซึได้แบบไม่จำกัดรอบภายใน 1 วัน
  • ราคา: ผู้ใหญ่ 500 เยน, เด็กชั้นประถมศึกษา 250 เยน

แนะนำเลยว่านักท่องเที่ยวควรใช้ Pass นี้ค่ะ ปกติค่ารถบัสนั่งไปกลับสถานที่ท่องเที่ยวที่เดียวก็เกือบคุ้มค่าแล้ว Pass ค่ะ (ค่าโดยสารเที่ยวละ 210 เยน) แต่นี่สามารถใช้ได้ตลอดทั้งวัน วันไหนที่เพื่อนๆ วางแผนเที่ยวภายในเมืองไอสุวากามัตซึอยู่แล้ว ก็อย่าพลาดที่จะหาทางประหยัดนะคะ

Aizu-Wakamatsu Loops Bus 1 Day Pass

ส่วนการแลกตั๋วนั้นไม่ยากเลยค่ะ เพียงแค่เพื่อนๆ ไปติดต่อที่ประชาสัมพันธ์ของลานจอดรถบัสที่อยู่ติดกับสถานีรถไฟ Aizu-Wakamatsu ได้เลยค่ะ ซึ่งสามารถสอบถามสถานที่ที่ต้องการไปและเวลาออกของรถบัสได้ด้วย เขาให้บริการดีมากค่ะ

หลังจากได้ Pass มาครอบครองแล้วทีนี้ก็ถึงเวลาเดินทางเสียที จากป้ายหน้าสถานี Aizu-Wakamatsu ให้ขึ้นรถบัส Aizu Loop Bus “Haikara-san” ที่ Bus Stop หมายเลข 6 ค่ะ โดยรถจะออกทุกๆ 30 นาที หรือ 1 ชั่วโมง (แล้วแต่ช่วงเวลา)

ตอนที่แอดมินขึ้นไปเป็นช่วงที่รถพึ่งเข้ามาจอด จึงยังไม่มีคนมาแย่งที่ค่ะ อิ อิ ด้านในก็เป็นเบาะนั่งกำมะหยี่สีแดงลายสก๊อต สวมปลายด้วยแผ่นหนังสีเหสือดสด ให้ความรู้สึกแบบ Local นิดๆ มีเสน่ห์ดีค่ะ ส่วนการจ่ายเงินนั้นไม่ต้องกังวลเพราะเราจะโชว์ให้คนขับดูตอนลงค่ะ

จากด้านในของรถจะมีป้ายบอกค่ะว่าจะถึงแต่ละป้ายในเวลากี่โมงกี่นาที ส่วนป้าย Tsuruga Castle นั้นจะถึงประมาณ 8:21 น. ค่ะ แม้จะมีเพียงภาษาญี่ปุ่นก็ขอให้เพื่อนๆ เทียบกับภาษาญี่ปุ่น 鶴ヶ城入口 [Tsurugajo-iriguchi] ได้เลยค่ะ อิ อิ เมื่อรถบัสออกตัวก็ใช้เวลานั่งไม่ถึง 10 นาที เราก็มาถึงหน้าทางเข้าปราสาทค่ะ แต่ว่าต้องเดินเข้าไปด้านในอีกหน่อยนะคะ

อย่างไรก็ตามเพื่อความสะดวกและป้องกันการตกรถบัสในรอบต่อไป แนะนำให้ดูตารางรถบัสและสายรถบัสที่จะเดินทางไปยังสถานีการท่องเที่ยวที่ต่อไปเอาไว้ก่อนค่ะ (แอดมินเน้นถ่ายรูปเก็บดู)

ถ่ายรูปเอาไว้จนสบายใจแล้วก็เดินเข้าไปด้านในเลยค่ะ โดยสามารถดูป้ายนำทางได้จาก 2 ข้างทางถนน ด้านซ้ายมือเป็นแหล่งขายของฝาก ขนมท้องถิ่นและกิจกรรมเล็กๆ น้อยๆ สำหรับนักท่องเที่ยวค่ะ

รีวิวเที่ยวปราสาทปราสาทสึรุกะ (Tsuruga Castle)

ถ้ามาเที่ยวในช่วงฤดูหนาว ก็จะเห็นทางขวามือเป็นคูน้ำที่ล้อมรอบพื้นที่ปราสาทซึ่งกลายเป็นน้ำแข็ง เรียกได้ว่าปราสาทแห่งนี้ย้อมไปด้วยหิมะสีขาวโพลน เป็นบรรยากาศที่จะเห็นได้เฉพาะฤดูกาลนี้เท่านั้นค่ะ

ทางเข้าปราสาท
Photo : cehadoo

เดินเข้าไปตามทางเข้าของกำแพง ด้านข้างเต็มไปด้วยหิมะที่กองสูงเกือบเท่าความสูงขอแอดมินเอง อากาศตอนเช้าค่อนข้างเย็น แต่พอลมสงบก็จะไม่ค่อยรู้สึกหนาวเท่าไหร่ค่ะ

ยังไม่ทันพ้นแนวกำแพง ก็เห็นยอดปราสาทสวยสะอาดตาทะลุผ่านต้นไม้มาเช่นนี้ค่ะ ปราสาทที่นี่สวยมากจริงๆ ค่ะ โดยเฉพาะสีขาวในฤดูหนาวเรียกว่ามีเสน่ห์สมกับชื่อปราสาทนกกระเรียนจริงๆ ค่ะ

วินาทีแรกที่ได้เห็นปราสาทก็จะได้บรรยากาศ ประหนึ่งได้พบวิมานสวรรค์ก็ว่าได้ ด้วยตัวอาคารสีขาวสะอาดตา ประกอบกับหลังคาที่ปกคลุมด้วยสีขาวของหิมะซึ่งสะท้อนแสงแดดยามสายที่ทอดตรงเข้ามารับกับมุมสายตาพอดิบพอดี เรียกว่าองค์ประกอบทุกอย่างควรค่าแก่การชื่นชมอย่างยิ่งค่ะ

เดินมาอีกนิดคุณไกด์ (เป็นไกด์อาสาของท้องถิ่น) บอกว่าจุดนี้หลายคนนิยมมาถ่ายรูปกันค่ะ หากเพ่งดูดีๆ แล้วจะเห็นว่ามีหินก้อนใหญ่ก้อนหนึ่งที่เป็นรูปหัวใจ เขาจึงจัดให้เป็นจุดถ่ายรูปไปโดยปริยาย

กว่าจะเดินมาถึงทางเข้าตัวปราสาทจริงๆ ก็กินเวลาไปเกือบ 20 นาทีแล้ว เพราะมัวแต่ถ่ายรูป ฮา~ ก่อนจะเข้าไปชมปราสาทจริงๆ ก็ต้องซื้อบัตรผ่านก่อน และจะมีคนตรวจตั๋วที่ตรงทางเข้าอีกรอบค่ะ

ราคาตั๋วเข้าชมปราสาท

  • ผู้ใหญ่ราคา  510  เยน (รวมตั๋วเข้า Rinkaku Tea House)
  • ผู้ใหญ่ราคา 410 (ตั๋วเข้าปราสาทอย่างเดียว)
  • เด็ก (อายุ 6-15 ปี) ราคา 150 เยน (รวมตั๋วเข้า Rinkaku Tea House)

เมื่อถึงทางเข้านอกจากจะมีการตรวจตั๋วแล้ว เจ้าหน้าที่ยังคอยแจ้งว่าไม่สามารถบันทึกภาพด้านในปราสาทได้ค่ะ ดังนั้นคนที่มาเที่ยวตรงจุดนี้ก็อย่าลืมเก็บกล้องด้วยนะคะ ซึ่งด้านในก็เป็นพิพิธภัณฑ์ทางภูมิศาสตร์ที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ รวมถึงมีการจัดแสดงวัตถุโบราณและหลักฐานต่างๆ ส่วนชั้นบนสุดนั้นสามารถชมวิวทิวทัศน์ของเทือกเขาที่ปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งได้แบบ 365 องศาเลยค่ะ

เมื่อขึ้นไปยังจุดชมวิวแล้วมองลงมาด้านล่าง ก็จะมองเห็นส่วนต่างๆ ในบริเวณทั้งหมดของปราสาทพร้อมวิวทั่วทั้งเมืองแบบ 360 องศา ใครชอบจุดไหนเป็นพิเศษก็มีกล้องให้ส่องด้วยนะคะ แต่ไม่ว่าจะหันไปทางไหนก็สวยจริงๆ เพราะเมืองนี้ล้อมรอบด้วยภูเขาจึงมีวิวทิวทัศน์ของภูเขาหิมะให้ชมทุกทิศทางค่ะ

ส่วนด้านล่างซึ่งเป็นอาคารยื่นออกมา ด้านในก็เป็นร้านขายของฝากมืองไอสุวากามัตซึ แนะนำให้ซื้อผลิตภัณฑ์วัวแดงค่ะ เพราะของเขาดังจริงๆ

จากปราสาทเดินไปยังเรือนชงชา Rinkaku Tea House มีระยะประมาณ 50 เมตร ช่วงหน้าหนาวก็จะเดินแข็งๆ หน่อยนะคะ ฮิ ฮิ  แต่เมื่อเข้าบริเวณของเรือนชงชาเราจะได้เห็นสีเขียวขจีที่ไม่ค่อยได้เห็นในช่วงฤดูกาลนี้ค่ะ เห็นแล้วก็สดชื่นทุกที

เข้ามาบริเวณเรือนชงชา Rinkaku Tea House แล้วก็นำบัตรผ่านที่ได้มาตอนที่ซื้อบัตรเข้าปราสาทยื่นให้กับเจ้าหน้าที่ แล้วก็เข้าไปเดินชมรอบๆ เรือนชงชา ในขณะที่เจ้าหน้าที่เขาจะเตรียมชาเอาไว้ให้เราค่ะ

เรือนชงชา Rinkaku Tea House เปิดให้บริการทุกวันตั้งแต่ 8:30 – 17:00 น. (ประตูเปิดถึง 16:30 น.) มีค่าเข้า 200 เยน หรือซื้อตั๋วรวมกับค่าเข้าปราสาทก็อยู่ที่ 510 เยนสำหรับผู้ใหญ่ และ 150 เยน สำหรับเด็กค่ะ หากเราซื้อตั๋วแบบรวมมาอยู่แล้ว เพียงแค่ยื่นให้กับเจ้าหน้าที่ ก็เข้าไปได้เลยค่ะ

เรือนชงชา Rinkaku Tea House
Photo : cehadoo

ประตูเล็กๆ นี้มีความหมาย คือ เมื่อผ่านประตูนี้มาแล้ว นั่นหมายความว่าคุณจะเข้าสู่เขตของเรือนชงช้าอย่างแท้จริง (คล้ายกับการเสาโทริอิแสดงถึงการเข้าสู่ดินแดนของเทพเจ้า)

เข้ามาแล้วเราก็ต้องชำระตัวเราให้สะอาดค่ะ ล้างมือทั้งซ้ายและขวาแบบเดียวกับการล้างมือสำหรับการไปศาลเจ้าญี่ปุ่น คือ จับกระบวยด้วยมือขวาตักให้เต็มแล้วล้างมือซ้ายและตามด้วยมือขวา จากนั้นบ้วนปากโดยเทน้ำส่วนหนึ่งใส่มือซ้าย เอามารองปากแล้วบ้วน หลังจากนั้นล้างมือข้างซ้ายอีกรอบหนึ่งและทำความสะอาดกระบวยเป็นครั้งสุดท้าย ทุกขั้นตอนที่ว่ามาต้องทำด้วยน้ำภายใน 1 กระบวย ฉะนั้นจะเทน้ำแต่ละครั้งก็จอให้มีสตินะคะ

กว่าเราจะทำตามขั้นตอนเสร็จก็กินเวลาไปพักหนึ่ง (จะทำหรือไม่แล้วแต่ความตั้งใจค่ะ) ต่อจากนั้นเราก็จะได้ชมบ้านที่ใช้ชงชาจริงๆ สักทีค่ะ นี่คือเรือนสำหรับชงชาในสมัยก่อน ลักษณะเด่นของเรือนชงชาคือ ประตูที่สูงเพียงแค่ครึ่งตัวของคน ทั้งนี้เพื่อเป็นการปลดอาวุธของผู้ที่จะเข้าสู่เรือนชงชา เพื่อแสดงว่าในพิธีชงชาจะไม่มีการต่อสู้กัน

ด้านในของห้องชงชาเป็นห้องเสื่อทาทามิ ไม่กว้างไม่แคบ แต่ขอให้สังเกตด้านบนนะคะ จะมีตะขอเอาไว้เกี่ยวสายยึดกับกาน้ำร้อน ส่วนบนพื้นก็มีเสื่อทาทามิแผ่นเล็กๆ อยู่ ตรงนั้นสามารถเปิดออกและใส่เตาลงไปด้านล่างได้ พอจัดเต็มให้ครบเซ็ทแล้ว ห้องธรรมดาๆ นี้ก็พร้อมจะให้เป็นที่ชงชาแล้วจ้ะ (ช่างคิดจริงๆ) ชื่นชมกันมาพักใหญ่ก็ได้เวลาชิมชาเขียวที่พึ่งชงเสร็จใหม่ๆ ค่ะ

ชงชา
Photo : cehadoo

โซนนี้เรามารถดื่มชาเขียวไปพร้อมๆ กับการชมธรรมชาติของสวนญี่ปุ่นได้ด้วย การดื่มชาเขียวนั้นมีวิธีการดื่มที่แยบยลอยู่นะคะ ขั้นแรกให้ผ่าขนม (ที่จัดมาให้) ออกเป็น 2 ส่วน ทานครึ่งหนึ่งก่อน อาจจะหวานไปหน่อย จากนั้นค่อยจิบชาตามค่ะ ความขมของชาจะช่วยให้รสหวานในปากเบาลง ในขณะเดียวกันก็ช่วยให้ชารสชาติกลมกล่อมมากขึ้น หลังจากนั้นก็กินขนมส่วนที่เหลือ แล้วดื่มชาตามจนหมดค่ะ

รสชาติที่เคยขมของชาจะอ่อนลงกว่าเดิม และขนมจะหวานน้อยลงกว่าเดิมด้วยเช่นกัน และนี่คือหนึ่งเหตุผลที่ขนมญี่ปุ่นมีรสชาติหวานมาก เนื่องจากว่ามักจะทานกับชาร้อนๆ เป็นของว่างมากกว่าการทานขนมเพียงอย่างเดียวค่ะ

แถมให้อีกนิดด้วยบรรยากาศของปราสาทสึรุกะ (Tsuruga Castle) ในตอนกลางคืนค่ะ เนื่องจากว่าในฤดูหนาวที่ปราสาทจะมีการจัดแสดงไฟเอาไว้ค่ะ อีกทั้งยังมีงานเทศกาล Painted Candle Festival ที่จะจัดขึ้นปีละครั้ง เป็นงานแสดงไฟที่เราจะได้เห็นแสงไฟอบอุ่นจากเทียนที่ประดับไว้ทั่วบริเวณปราสาทค่ะ แต่ถึงแม้ครั้งนี้จะไม่มีแสงจากเทียนแต่แสงสีน้ำเงินอมม่วงก็ให้ความรู้สึกประทับใจไปอีกแบบหนึ่งค่ะ สำหรับวันนี้สวัสดีค่า

อ่านตอนต่อไป » [รีวิว] จุดชมวิวรถไฟ Tadami Line ณ Tadami River First Bridge Viewpoint จังหวัดฟุุคุชิมะ

เทียบราคาโรงแรมที่พักในฟุคุชิมะ


บทความเที่ยวฟุคุชิมะ (Fukushima) ดูทั้งหมด »

• การเดินทาง

· การเดินทางจากโตเกียว/เซนไดไปฟุคุชิมะ (Tokyo/Sendai → Fukushima)
· JR EAST PASS (Tohoku area) พาสเที่ยวโตเกียว – โทโฮคุ สุดคุ้มใน 5 วัน

• ท่องเที่ยวช่วงฤดูร้อน

· [รีวิว] Gyoza no Terui เกี๊ยวซ่าสุดอร่อยในฟุคุชิมะ ที่ต่อแถวนานกว่าชั่วโมง!
· [รีวิว] พาไปเที่ยวสวนเชอร์รี่แบบทานไม่อั้นที่เมือง Aizu-wakamatsu

• ท่องเที่ยวช่วงฤดูหนาว

· [รีวิว] สวน Kankouen Kyuchan เก็บสตรอว์เบอร์รี่พร้อมทานไม่อั้น
· [รีวิว] Nishi-aizu International Art Village กิจกรรมโกยหิมะและเล่นหิมะ
· [รีวิว] หมู่บ้านโออุจิ จูคุ (Ouchi-Juku) ยลโฉมหมู่บ้านโบราณช่วงฤดูหนาว
· [รีวิว] ปราสาทสึรุกะ (Tsuruga Castle) เที่ยวปราสาทนกกระเรียน
· [รีวิว] จุดชมวิวรถไฟ Tadami Line ณ Tadami River First Bridge Viewpoint
· [รีวิว] ทะเลสาบอินะวะชิโระ (Lake Inawashiro) ทะเลสาบกระจกแห่งสวรรค์

• ร้านอาหาร

· [รีวิว] ร้าน Tonkatsu Banban กับซอสคัตสึด้งรสชาติเมือง Aizu-wakamatsu
· [รีวิว] ร้าน Takino ชวนชิมอาหารท้องถิ่นชาว Aizu-Wakamatsu

• โรงแรมที่พัก

· [รีวิว] Harataki Ryokan Aizu-Wakamatsu แช่ออนเซ็นชิลๆ แบบส่วนตัว
· [รีวิว] Green Hotel Aizu โรงแรมที่พักใกล้สถานี Aizu-Wakamatsu
· [รีวิว] Hotel Listel Inawashiro โรงแรมพร้อมลานสกีใกล้ทะเลสาบ Inawashiro

รูปภาพที่มีโลโก้และบทความในเว็บไซต์ ถือเป็นลิขสิทธิ์ของ JapanKakkoii.com