แอดมินมีรีวิวเทศกาลชมดอกวิสทีเรีย (Wisteria) หรือ ดอกฟูจิ (Fuji) ที่สวนอาชิคางะ (Ashikaga Flower Park) ในจังหวัดโทชิงิ (Tochigi) มาฝากนะคะ เราไปชมตอนต้นเดือนพฤษภาคมซึ่งเป็นช่วงพีคของการชมดอกไม้ที่สวนนี้เลย โดยไฮไลท์ของเทศการของสวนนี้ นอกจากต้นวิสทีเรียสีม่วงขนาดใหญ่แล้ว ก็ยังมีอุโมงค์ดอกวิสทีเรียสีขาวและเหลืองด้วยนะคะ ขอบอกว่าอลังการมากๆ

ใครที่มาเที่ยวแถบโตเกียว (Tokyo) ช่วงตอนประมาณปลายเดือนเมษายน – ต้นเดือนพฤษภาคม ก็แนะนำเพื่อให้เพื่อนๆ เพิ่มสวนนี้เข้าไปในโปรแกรมท่องเที่ยวได้เลย เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ห้ามพลาดเลยค่ะ เพราะสวนนี้อยู่ไม่ไกลจากโตเกียว สามารถเดินทางไปกลับในครึ่งวันได้สบายค่ะ

เกี่ยวกับสวนอาชิคางะ (Ashikaga Flower Park)

สวนดอกไม้อาชิคางะ (Ashikaga Flower Park / あしかがフラワーパーク) เป็นสวนดอกไม้ที่มีชื่อเสียงในจังหวัดโทชิงิ (Tochigi) ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถมาชมดอกไม้นานาชนิดได้ตลอดทั้งปี แต่สวนนี้จะมีไฮไลท์ในช่วงกลางเดือนเมษายนถึงกลางเดือนพฤษภาคมคือ เทศกาลดอกวิสทีเรีย A Tale of the Wisteria “The Great Wisteria Festival” ทีสามารถชมดอกวิสทีเรียหรือดอกฟูจิกำลังบานสะพรั่ง โดยมีทั้งต้นวิสทีเรียดอกสีม่วงขนาดใหญ่ที่มีความเก่าแก่กว่า 150 ปี ซึ่งจะบานสวยกินพื้นที่ถึง 1,000 ตร.ม. และยังมีอุโมงค์ดอกวิสทีเรียสีขาวและเหลืองยาวกว่า 80 เมตรเลยทีเดียว

ข้อมูลการเยี่ยมชมสวนช่วงปกติ

ค่าเข้าชม

ประเภทราคาตั๋ว
ผู้ใหญ่
ราคาตั๋ว
เด็ก
1 ม.ค. – 31 มี.ค. 2024500 – 900 เยน300 – 500 เยน
1 เม.ย. – 31 พ.ค.2024900 – 2,200 เยน500 – 1,100 เยน
1 มิ.ย. – 30 มิ.ย. 2024800 – 1,300 เยน400 – 700 เยน
1 ก.ค. – 30 ธ.ค. 2024
(ช่วงกลางวัน)
400 – 800 เยน200 – 400 เยน
18 ต.ค. 2023 – 14 ก.พ. 2024
(ช่วงกลางคืน)
1,300 เยน700 เยน
※ราคาแตกต่างกันขึ้นอยูกับช่วงเวลาที่ดอกไม้บานและงานประดับไฟ

เวลาทำการ

วันที่วันที่จัดงาน
ช่วงปกติ9:00 – 17:00 น.
ช่วงเทศกาลดอกวิสทีเรีย
(13 เม.ย. – 15 พ.ค. 2024)
7:00 – 20:30 น.※
ช่วงประดับไฟฤดูหนาว
(18 ต.ค. 2023 – 14 ก.พ. 2024)
วันธรรมดา 15:30 – 20:30 น.
วันเสาร์-อาทิตย์, วันหยุด 15:30 – 21:00 น.
(เริ่มเปิดไฟประมาณ 16:30 – 17:00 น.)
※เวลาทำการแตกต่างกันไปในแต่ละช่วง

ข้อมูลการเยี่ยมชมสวนช่วงเทศกาล

งานเทศกาล A Tale of the Wisteria “The Great Wisteria Festival”

ตารางจัดงานเทศกาล

ปีวันที่จัดงานวันที่ประดับไฟ
202413 เม.ย. – 15 พ.ค. 202320 เม.ย. – 12 พ.ค. 2023
202312 เม.ย. – 14 พ.ค. 202315 เม.ย. – 14 พ.ค. 2023
202216 เม.ย. – 22 พ.ค. 202216 เม.ย. – 15 พ.ค. 2022
202115 เม.ย. – 23 พ.ค. 202117 เม.ย. – 16 พ.ค. 2021
202011 เม.ย. – 20 พ.ค. 202017 เม.ย. – 20 พ.ค. 2020
201913 เม.ย. – 19 พ.ค. 201920 เม.ย. – 12 พ.ค. 2019
201818 เม.ย. – 20 พ.ค. 201821 เม.ย. – 13 พ.ค. 2018
2017
(ปีที่รีวิว)
15 เม.ย. – 21 พ.ค. 201722 เม.ย. – 14 พ.ค. 2017

เวลาทำการช่วงเทศกาล

วันที่เวลาเปิด-ปิด
13 – 19 เม.ย. 20249:00 – 18:00 น.
20 เม.ย. – 6 พ.ค. 20247:00 – 21:00 น.
7 – 12 พ.ค. 20248:00 – 20:30 น.
13 – 26 พ.ค.20249:00 – 20:30 น.

ค่าเข้าชมช่วงเทศกาล

ประเภทราคาตั๋ว
ผู้ใหญ่
ราคาตั๋ว
เด็ก
ตั๋วเข้าชม 1 วัน1,000 – 2,200 เยน500 – 1,100 เยน
ตั๋วเข้าชมช่วงกลางคืน1,300 เยน700 เยน
※ราคาแตกต่างกันขึ้นอยูกับช่วงเวลาที่ดอกไม้บานและงานประดับไฟ
※ตั๋วเข้าชมช่วงกลางคืนจะเริ่มเปิดขายตั้งแต่เวลา 17:30 น.

วิธีการเดินทางมาสวนอาชิคางะ (Ashikaga Flower Park)

การเดินทางจากโตเกียวนั้นมีอยู่หลายวิธีนะคะ ทั้งการนั่งรถไฟด่วนและรถไฟธรรมดา โดยวิธีการเดินทางที่เราแนะนำมีดังต่อไปนี้

Ashikaga Flower Park Station

หมายเหตุ: ตั้งแต่ 1 เมษายน 2018 เป็นต้นไป สามารถนั่งรถไฟสาย JR RYomo Line มาลงได้ที่สถานี Ashikaga Flower Park ซึ่งเป็นสถานีรถไฟเปิดใหม่บริเวณหน้าสวน (หากลงสถานี Tomita ซึ่งเป็นสถานีเดิมจะต้องเดินประมาณ 1 กิโลเมตร)

วิธีที่ 1 : นั่งรถไฟด่วนสาย JR

สามารถเดินทางได้จากสถานี Tokyo หรือ Ueno ก็ได้ ให้ขึ้นสาย JR Utsunomiya Line มาลงที่สถานี Oyama (Tochigi) ต่อรถไฟสาย JR Ryomo Line ลงสถานี Ashikaga Flower Park และเดินต่อไปยังสวนได้เลยค่ะ (ใช้ JR Pass, JR East Pass และ TOKYO Wide Pass ได้)

วิธีที่ 2 : นั่งรถไฟชินคังเซ็น

สามารถนั่งรถไฟชินคังเซ็นจากสถานี Tokyo หรือ Ueno ได้นะคะ ลงที่สถานี Oyama (Tochigi) แล้วต่อสาย JR Ryomo Line ลงสถานี Ashikaga Flower Park และเดินต่อไปยังสวน (ใช้ JR Pass, JR East Pass และ TOKYO Wide Pass ได้)

วิธีที่ 3 : นั่งรถไฟด่วนสาย Tobu

การใช้บริการรถด่วนนั้นช่วยลดขั้นตอนความงงในการขึ้นรถไฟได้มากเลยค่ะ จากสถานี Tobu Asakusa นั่งรถไฟสาย Tobu Ryomo ขบวน Limited Express ลงที่สถานี Ashikagashi และนั่งรถบัสต่อไปที่สวน

วิธีที่ 4 : นั่งรถไฟธรรมดาสาย JR

สำหรับคนที่อยากประหยัดและไม่มี JR Pass ก็นั่งรถไฟธรรมดาได้ค่ะ ตัวอย่างการเดินทางข้างบนนี้เริ่มจากสถานี Ikebukuro ที่โตเกียว มาต่อรถไฟที่สถานี Akabane มาลงที่สถานี Oyama (Tochigi) แล้วต่อสาย JR Ryomo Line ลงสถานี Ashikaga Flower Park ค่ะ (ในรีวิวนี้เราจะใช้วิธีการเดินทางนี้ค่ะ) สำหรับสถานีอื่นๆ สามารถเช็คการเดินทางได้จาก Google Map เลยค่ะ

แนะนำพาสเที่ยวรอบโตเกียว
Klook.com

รีวิวเที่ยวสวนอาชิคางะ (Ashikaga Flower Park)

ส่วนตัวเราที่ไม่ได้ถือพาสใดๆ แถมจ๊นจน ก็นั่งรถไฟธรรมดาไปค่ะ สามารถนั่งรถไฟผ่านเส้นทางจังหวัดไซตามะ ลัดเลาะเข้าจังหวัดโทชิงิอีกที ต้องออกเดินทางค่อนข้างเช้า (อย่างมาก) เราตื่นตั้งแต่หกโมง นั่งรถไฟประมาณ 2 – 3 ต่อ รวมจากที่พักด้วย กินเวลาประมาณ 2 ชั่วโมงค่ะ แต่เราดันนั่งรถไฟเลยป้าย (เวรกำ) ทำให้พลาดรถไฟ ก็ช้าขึ้นไปอีก ฉะนั้นใครไปก็ดูเวลาให้ดีอย่าให้พลาดนะจ๊ะ

เราเริ่มต้นจากสถานี Ikebukuro สามารถนั่งรถได้ 2 สายนะคะ คือ JR Shonan-Shinjuku Line หรือ รถไฟสาย JR Saikyo Line นั่งได้ทั้ง 2 สายค่ะ แล้วมันต่างกันยังไงล่ะ?

หากนั่ง JR Saikyo Line ให้ขึ้นรถไฟที่ชานชาลาที่ 4 และต้องลงที่สถานี Akabane เพื่อต่อรถไฟสาย Utsunomiya Line นั่งรถยาวประมาณ 1 ชม. แล้วลงที่สถานี Oyama (Tochigi) ต่อรถไฟสาย Ryomo Line มาลงสถานี Tomita ค่ะ

หมายเหตุ: เนื่องจากเราไปมาเมื่อปี 2017 สถานี Ashikaga Flower Park ยังไม่เปิดให้บริการ หากมาตั้งแต่ 1 เมษายน 2018 เป็นต้นไป สามารถลงรถไฟที่สถานี Ashikaga Flower Park ได้เลยค่ะ

หากนั่งรถไฟสาย JR Shonan-Shinjuku Line (Via Utsunomiya Line) ให้ขึ้นรถไฟชานชาลาที่ 3 วิ่งยาวตรงไปยัง Oyama (Tochigi) แล้วต่อสาย Ryomo Line ลงสถานี Tomita แต่ว่าข้อเสียของการเดินทางแบบนี้คือ ประมาณ 30 นาทีถึงจะมีรถที่วิ่งยาวค่ะ รวมๆ แล้วก็เวลาเท่ากันกับวิธีข้างบนนั่นเอง แต่เหมาะสำหรับคนที่ไม่อยากเปลี่ยนรถไฟบ่อย

แอดมินนั้นไม่มีความอดทนรอมากนัก ดูเวลาแล้วเปลี่ยนบ่อยหน่อยแต่ว่าถึงเร็วกว่าเกือบ 20 นาที ก็ยอมนั่ง JR Saikyo Line จาก ชานชาลาที่ 4 ของสถานี Ikebukuro มาลงที่สถานี Akabane และเปลี่ยนเป็นสาย Utsunomiya Line ไปที่สถานี Oyama (Tochigi)

นั่งหลับจนคอเกือบหักคาที่นั่งประมาณ 66 นาทีผ่านไป แถมนั่งรถเลยเพราะอ่านชื่อสถานีผิดแล้ว ก็มาถึงสถานี Oyama (Tochigi) โดยสวัสดีภาพ และเนื่องจากนั่งรถเลยไปทำให้พลาดขบวน JR Ryomo Line ก่อนหน้านั้นไปก็ทำให้ติดแหงกที่สถานีนี้เกือบ 30 นาที เพื่อนๆ ที่จะไปสวน Ashikaga Flower Park บอกเลยว่า พลาดรถไฟสายไหนก็พลาดได้ แต่อย่าได้พลาด Ryomo Line เด็ดขาดเพราะ มีแค่เกือบ 1 ชม. ถึงจะวิ่งสักคันหนึ่ง

ลงรถไฟแล้วมองหาสัญลักษณ์รถไฟสายสีเหลืองนะคะ เป็นของ Ryomo Line ชานชาลาที่ 6-8 จะต้องเดินอ้อมมาด้านหลังของชานชาลาชินคังเซ็น เปลี่ยวๆ นิดหน่อย ไกลด้วย 555

เมื่อมาถึงแล้วก็เจอรถไฟเหลี่ยมๆ ให้ความรู้สึกน่ารักแบบรถเต่าสีครีมคาดโบว์สีชมพูตรงหน้า รถไฟจอดรอเราอย่างใจเย็น เพราะคนขับก็ไม่อยู่ 555 บนชานชาลาไม่มีคนเลย เหงามากหน่อยก็ขึ้นไปนั่งหลับบนรถ (อีกแล้ว) รอเวลาออก ควรรีบขึ้นรถไปก่อนเพราะตอนรถใกล้ออกที่นั่งจะเต็มนะจ๊ะ อย่าประมาทเดี๋ยวเสียม้า อิ อิ พอรถไฟออกแล้วก็นั่งหลับชิลๆ อีก 30 นาที นั่งรถไฟรวมกันหมดนี่ได้นอนมากกว่าเวลาหลับรวมกันทั้งคืนของแอดอีก ><

หน้าตาสถานี Tomita ซึ่งเล็กมากๆ ซ้ายมือมีห้องน้ำ ขวามือจะมีร้านขายข้าวกล่องตั้งเอาไว้ จะได้ไม่ต้องไปต่อแถวด้านในสวนค่ะ ราคาประมาณ 1,000 เยนนิดๆ ยิ่งใหญ่อลังการตามประสาญี่ปุ่น และใกล้ๆ สถานีก็มีร้านอื่นๆ อีก ระหว่างทางเดินไปสวนก็มีร้านค่ะ ไม่ต้องกลัวอด เหมือนเป็นคนในท้องถิ่นมาออกร้านเอง ก็ดีตรงที่ว่าได้ทานอาหารฝีมือคนท้องถิ่นที่ไม่ใช่แฟรนไชส์ ถือว่าได้รสมือไปอีกแบบ ราคาไม่แพงด้วย

หมายเหตุ: ถ้าเดินจากสถานี Tomita จะใช้เวลาประมาณ 15 นาที แต่ถ้าเดินจากสถานี Ashikaga Flower Park ที่เปิดใหม่จะใช้เวลาเพียง 1 นาทีค่ะ

เดินไปตามถนนนี้เลย จะเห็นว่ามีคนมาคอยยืนแจกขนมด้วย บ้านแถวนั้นก็มาออกร้านกันครึกครื้นน่าดูค่ะ เดินไปตามทางจนถึงสามแยกแล้วเลี้ยวขวามือ และเดินตรงไปเรื่อยๆ จริงๆ จะมีคนที่มารถไฟขบวนเดียวกัน เดินๆ ตามเขาไป ไม่มีทางหลงแน่นอนค่ะ (นอกจากเขาพาหลง ฮาาา)

เมื่อมาถึงสวน Ashikaga Flower Park เราจะเจอหน้าทางเข้าสวนแบบนี้ค่ะ มีการจัดต้นต้นวิสทีเรียหรือฟูจิเล็กๆ ด้านหน้า แล้วก็มีประตูทางเข้าอยู่ซ้ายมือ ขวามือเป็นทางออก และมีคนตรวจตั๋วอยู่ตรงทางเข้าสวนค่ะ แต่เราจะเดินดุ่มๆ เข้าไปไม่ได้ ต้องซื้อตั๋วเสียก่อน

ที่ขายตั๋วก็ไม่ใกล้ไม่ไกล ติดกับทางเข้าด้านซ้ายมือจะมีช่องซื้อตั๋วที่มีคนยืนเข้าแถวกันค่ะ ส่วนราคาตั๋วนั้นติดป้ายอยู่ตรงเสาด้านขวามือในรูปค่ะ ช่วงนี้เป็นช่วงยอดฮิตของสวนนี้ ราคาเข้าจะแพงที่สุดคือ 1,700 เยน (แพงที่สุดเท่าที่เคยเข้าสวนดอกไม้เลย)

ไปซื้อตั๋วเรียบร้อยแล้วเราก็จะได้ตั๋วใบเล็กๆ และแผ่นพับมาค่ะ ด้านในมีแนะนำไฮไลท์ของสวน คือดอกวิสทีเรียว่ามีที่มาอะไรยังไง ในส่วนของบัตรเล็กๆ นั้นจะเห็นได้ว่ามีตัวเลข 200 เยนติดอยู่ นั่นหมายถึงว่า หากคุณมาสวนในครั้งต่อไปแล้วยื่นบัตรส่วนนี้ จะได้ส่วนลดอีก 200 เยนนั่นเองค่ะ

เมื่อผ่านประตูทางเข้าสวน Ashikaga Flower Park มาแล้วจะเจอโซนขายของฝากที่เต็มไปด้วยดอกวิสทีเรีย ม่วงมากกก ทั้งรสชาติดอกวิสทีเรียสาเก เครื่องหอม เยอะแยะมากเลย สามารถเลือกซื้อกันได้ค่ะ แต่แนะนำให้ซื้อตอนก่อนออกจะดีกว่าจะได้ไม่ต้องถือให้เมื่อยเนอะ

ผ่านโซนของฝากอันล่อตาล่อใจเราแล้วก็เจอกับด้านในสวนเสียที คนเยอะ แต่ว่าไม่แออัดค่ะ ทุกส่วนเต็มไปด้วยต้นไม้ ซึ่งสวนแห่งนี้จะอยู่ติดกับเชิงเขาที่เขียวชอุ่มทำให้รู้สึกว่าเป็นสวนที่ใกล้ชิดกับธรรมชาติมาก

ด้านขวามือจะเป็นร้านขายอาหาร ร้านไอศกรีม และที่นั่งพักทานอาหารตามสะดวก ใครที่ไม่อยากต่อคิวยาวๆ ก็ห่อข้าวกล่องมาได้ไม่ว่ากัน นอกจากนี้ด้านซ้ายมือที่เป็นโซนของต้นไม้ ก็มีต้นกล้า และเมล็ดพันธุ์ของต้นวิสทีเรียขายด้วยนะคะ เสียดายเราไม่ได้ซื้อกลับบ้านด้วย อยากเอาไปปลุกให้แม่ดู อิ อิ นอกจากนั้นก็มีส่วนของไม้ดัดที่กำลังออกดอกตามรูปทรงซุ้มประตูสวยงาม และยังสามารถเข้าร่วมกิจกรรมถ่ายรูปกับดอกวิสทีเรียได้ฟรีอีกด้วย สนุกสนาน สวยงามมากค่ะงานนี้

หลังจากผ่านโซนต้นกล้าดอกไม้นานาชนิดแล้ว ก็จะเจอกับส่วนที่เป็นดอกไม้พันธุ์ต่างๆ ที่กำลังแข่งกันออกดอกอย่างสวยงามค่ะ และจะเจอกับต้นวิสทีเรียขนาดเล็ก สูงประมาณ 2 เมตร กำลังออกดอกสวยทั้งสีม่วงและสีขาว ขยายกิ่งก้านยาวเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 3 เมตรเห็นจะได้ เราสามารถเข้าไปชมใกล้ๆ ได้ แต่ห้ามจับนะคะ

ตัวอย่างดอกไม้นานาชนิดที่เรียงรายไปตามทางเดินที่เราเดินผ่านค่ะ เวลาลมพัดมาทีก็จะได้กลิ่นดอกไม้ลอยมาตามลม หอมชื่นใจ บอกไม่ถูกค่ะ เป็นเรื่องที่ไม่ค่อยได้สัมผัสกันในการใช้ชีวิตญี่ปุ่นแบบนี้นะคะ สำหรับดอกไม้ที่มีกลิ่นแบบธรรมชาติ ยิ่งในเมืองยิ่งหาได้ยากค่ะ

ต้นวิสทีเรียนี้เวลามองจากภายนอกจะเห็นเป็นพุ่มๆ มีใบปิดอยู่ด้านบน ฉะนั้นถ้าเป็นต้นเล็กๆ เราจะไม่ค่อยรู้สึกถึงความอลังการมากมาย แต่หากลองนั่งยองๆ แล้วส่องเข้าไปใต้ต้นแล้วละก็ จะเห็นความงามตั้งแต่ลำต้นจนถึงดอกที่ห้อยระย้าลงมา สวยงามอย่างเช่นในรูปค่ะ เย็นสบาย เป็นร่มเงาให้เราได้อีกด้วย

เมื่อเดินผ่านสวนที่มีแต่ดอกไม้เล็กๆ ไปแล้ว เราก็เจอต้นวิสทีเรียนี้ค่ะ คือใหญ่มากกก ไม่คิดว่าจะใหญ่ขนาดนี้ เนื่องจากเราไม่ได้ดูรีวิวอะไรมาก่อนเลย รู้แค่ว่ามีสวน Ashikaga Flower Park มีดอกวิสทีเรียให้ชม เราก็มาค่ะ (เชื่อคนง่ายจริ๊งงง) แล้วพอมาเจอแบบนี้ ใบ้กินไปเลยล่ะค่ะ คุ้มค่ากับราคาเข้าสวนมากจริงๆ ระย้าของดอกวิสทีเรียยาวและแผ่ขยายกว้างมากกก

และเมื่อมองขึ้นไปด้านบนเราก็จะเจอกับความสดใสของท้องฟ้าและดอกวิสทีเรียสีม่วง ที่มาพร้อมกับกลิ่นหอมๆ ชื่นใจสุดๆ แบบนี้ค่ะ

ใกล้เข้ามาอีกนิดกับดอกวิสทีเรียแบบใกล้ๆ เป็นดอกเล็กๆ น่ารักสวยมาก กลีบกลมๆ มีความตะมุตะมิเบาๆ แค่ตอนถ่ายรูปมุมนี้อาจจะปวดคอไปหน่อย เอิ๊กกก

ภาพเมื่อสักครู่คือต้นใหญ่ต้นแรก หลังจากเดินวนรอบครบแล้ว ก็เดินมายังต้นที่สองค่ะ ระหว่างทั้งสองต้นก็มีพื้นที่ให้เราได้เดินเล่นบนทางเดินกว้างที่มุ่งด้วยหลังคาดอกวิสทีเรียทั้งหมดซึ่งเป็นจุดที่ทั้งสองต้นมาบนจบกันนั่นเอง

นี่เป็นอีกต้นหนึ่งที่เรากล่าวถึงเมื่อสักครู่ค่ะ ต้นเล็กกว่านิดหน่อย แต่ด้านหน้ามีศาลเจ้าเล็กๆ ให้หยอดเหรียญขอพรด้วย ซึ่งทั้งสองต้นนี้คาดว่าเป็นต้นเก่าแก่ที่เขาพูดถึงกันค่ะ ซึ่งมีอายุถึง 150 ปีเชียวนะคะ! แก่กว่าแอดหลายเท่าอยู่ อิ อิ

ส่วนต้นนี้เป็นคนละชนิดกับเมื่อสักครู่ค่ะ เป็นต้นที่บานตั้งแต่ปลายเมษายนถึงต้นพฤษภาคม จะมีความแตกต่างกันตั้งแต่ลักษณะกลีบดอก การตั้งช่อ และสีของดอกค่ะ

เพิ่มเติมด้วยบรรยากาศช่วงประดับไฟตอนเย็นจากแอดมินอีกท่านที่เพิ่งไปมาค่ะ

ช่วงเปิดไฟก็ดูอลังการไปอีกแบบ

อุโมงค์ดอกวิสทีเรียสีขาวจะบานสะพรั่งช่วงต้นเดือนพฤษภาคม ส่วนดอกสีเหลืองนั้นจะบานเต็มที่ช่วงต้นไปจนถึงกลางเดือนพฤษภาคมค่ะ (ช่วงที่เรามานี้เป็นตอนต้นเดือนพฤษภาคม)

ในสวนก็มีที่นั่งพักจิบน้ำชา ทานข้าวชมดอกไม้ เอาไว้บริการนักท่องเที่ยวกันค่ะ ที่นั่งริมน้ำ กินบรรยากาศแบบนี้เป็นสวรรค์สำหรับคนที่มาเที่ยวเลยค่ะ (ถ้าไม่นับแดดร้อนๆ)

ผ่านโซนต้นวิสทีเรียขนาดใหญ่เข้ามาแล้ว ยังสามารถเดินเข้าไปได้อีกค่ะ และยังมีกำแพงวิสทีเรียขนาดใหญ่อยู่ด้านใน รวมทั้งร้านค้าที่ขายสินค้าต่างๆ เกี่ยวกับดอกไม้ในสวนนี้ ซึ่งช่วงนี้เป็นช่วงของวิสทีเรีย สตอรี่ สินค้าต่างๆ ก็จะออกแนวโทนสีม่วงค่ะ

อีกด้านติดๆ กันนั้นก็มีสวนกุหลาบที่ยังไม่บานอยู่เต็มสวน และอีกไม่นานก็จะบานเต็มสวนให้เราได้ชมกัน ช่วงเวลาที่บานเต็มที่ของดอกกุหลาบคือตอนกลางเดือนพฤษภาคมถึงต้นเดือนมิถุนายนนะคะ

หลังจากชมดอกไม้หลักแล้ว ก็มาชมดอกไม้ชนิดอื่นๆ กันบ้างนะคะ ซุ้มดอกไม้สวยๆ ก็มีให้เดินเล่น ท่ามกลางบรรยากาศสดใสแบบนี้ ดอกไม้ใบหญ้า แถวนั้นก็ส่งกลิ่นอ่อนๆ ทำให้อารมณ์หม่นๆ ของโตเกียวที่ติดตัวเรามาสลายเป็นปลิดทิ้งเลยล่ะค่าาา

ปิดท้ายด้วยซอฟครีมรสดอกวิสทีเรียกันค่ะ ออกแนวรสหวานๆ แล้วก็มีกลิ่นของดอกไม้ เนื้อซอฟต์ครีมสีม่วงกำลังสวย แต่ละลายเร็วไปนิด ราคา 400 เยน รสวนิลา 350 เยน ราคาแพงหน่อยแต่ว่าขนาดก็ใหญ่กว่าซอฟต์ครีมที่เราเคยทานค่ะ

ซอฟครีมสีสวย ดูนุ่มนิ่มจนอยากเอาหน้าจุ่ม (?) ต้องรีบทานนะคะ ไม่งั้นละลายเลอะเต็มมือเลยล่ะค่ะ เย็นจี๊ดขึ้นสมองเลย แต่เราไม่ได้ชิมรสวนิลานะคะ

ท่ามกลางโซนของฝากนั้นเราก็เจอนมเลม่อนจิ๋ววางขายอยู่ค่ะ ไม่เคยเจอนมเลม่อนเลยสักครั้งที่ญี่ปุ่น เลยลองเสียหน่อยค่ะ รสชาติก็สไตล์ญี่ปุ่นมันๆ จืดๆ หน่อย แต่ดูดเพลินๆ แป๊บเดียวก็หมดแล้ว อิ อิ

ส่งท้าย

วันนี้ขอจบทริปชมดอกวิสทีเรียแสนสดชื่น สดใส และอาจจะแสนร้อนไปหน่อย ณ สวน Ashikaga Flower Park ไว้เท่านี้นะคะ หวังว่าคนที่ได้มีโอกาสไปเที่ยวสวนแห่งนี้ จะได้พบกับความสวยงามเช่นเดียวกันนะคะ สำหรับวันนี้ขอลาไปก่อน สวัสดีค่า

ค้นหาโรงแรมที่พักในญี่ปุ่น


รูปภาพที่มีโลโก้และบทความในเว็บไซต์ ถือเป็นลิขสิทธิ์ของ JapanKakkoii.com